หลังจากที่โม่หลัน หรือภรรยาเอกของใต้เท้าซิ่วถูกลงโทษด้วยการให้นางเดินทางไปสำนึกตนที่อารามซีโถวแล้ว อนุภรรยาทั้งสองของใต้เท้าซิ่วจึงเริ่มปรากฏตัว เพราะก่อนหน้านี้พวกนางถูกฮูหยินใหญ่ใช้อำนาจ และความโปรดปรานที่นายท่านมีให้ต่อนาง กดพวกตนเอาไว้ให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยามนี้พวกนางจึงมีอิสระและพอได้รู้สึกหายใจหายคอโล่งยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็ยังมิได้รับมอบหมายให้ดูแลงานสำคัญในเรือนหลังจากฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ดี
มีแต่งานพิธีปักปิ่นของหลานสาวอีกคนของนายท่านและฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น ที่พวกนางได้รับความไว้วางใจจากฮูหยินผู้เฒ่าให้พวกนางช่วยงานได้ พวกนางได้รับรู้มาว่าทางฮูหยินผู้เฒ่าเคยสั่งให้นายท่านตามหาหลานสาวผู้นี้มานานหลายปีแล้ว แต่ทว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะพบ บัดนี้กลับมาเยือนจวนตระกูลซิ่วในขณะที่นายหญิงใหญ่กลับไม่อยู่ที่จวน ทำให้พวกนางอดที่จะสงสัยไม่ได้
“เจ้าว่า…บุตรสาวของนายท่านรอง จะมีรูปโฉมงดงามเช่นเดียวกับนายท่านรองหรือไม่”
เจียงอีเหนียงเอ่ยถามเหยาอีเหนียง ยามนี้อนุทั้งสองกำลังนั่งปักลายลงบนผ้าเช็ดมืออยู่ภายในศาลากลางน้ำข้างเรือนนอนของพวกนางเอง
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้าได้ยินมาว่านางงดงามพิลาศพิไลนัก แม้จะวัยเพียงสิบสี่ปีก็ถือว่าเป็นโฉมสะคราญอีกคนหนึ่งของเมืองถิงฮวาได้แล้ว”
เหยาอีเหนียงตอบเจียงอีเหนียงในขณะที่มือของนางก็ยังคงง่วนอยู่กับการปักลายหงส์ลงบนผ้าเช็ดมือ พวกนางยังไม่เคยได้พบหน้าชิงเหมย เพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจากใต้เท้าซิ่วให้ออกไปเรือนชั้นนอก
“ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็ดูเหมือนว่าจะเอ็นดูนางอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้นคงไม่จัดพิธีปักปิ่นให้นางหรอก เจ้าว่า…เรื่องที่นายท่านบอกว่านายหญิงใหญ่เจ็บป่วย จึงต้องออกเดินทางไปรักษาที่ต่างเมืองในยามนี้ นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ปกติเรื่องใหญ่เช่นนี้ต้องเป็นนางที่รับหน้าที่ดูแล ทว่าเหตุใดนางถึงกลับมาป่วยเอายามนี้ได้”
เจียงอีเหนียงนึกประหลาดใจ ที่จู่ๆ สตรีผู้เย่อหยิ่งทระนงตนอย่างนายหญิงใหญ่จะมาล้มป่วยลงง่ายๆ คงจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอันใดที่พวกนางไม่รับรู้เป็นแน่
“แค่จวนแห่งนี้ไม่มีนางสักคน ชีวิตของพวกเราและลูกๆ ก็ได้อยู่กันอย่างสงบสุขแล้ว ไม่ดีหรอกหรือ” เหยาอีเหนียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่ผ่านมานางก็ไม่เคยนึกแย่งชิงความโปรดปรานหรืออำนาจใดๆ ในตระกูลนี้อยู่แล้ว นางหวังเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขกับบุตรชายเท่านั้นเอง
“ดีสิ…ตัวข้าเองก็เบื่อที่จะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนจะแย่ อยากจะออกมาปลูกดอกไม้ ชมดอกไม้ที่บานสะพรั่งกับเขาบ้าง หากนางอยู่มีหรือที่พวกเราสองคนจะได้มานั่งพูดคุยกันอยู่เช่นนี้”
ผู้ที่รับฟังส่ายใบหน้าไปมาเล็กน้อยก่อนที่จะก้มลงสนใจงานปักในมือ เหยาอีเหนียงปีนี้ก็เข้าสู่วัยสี่สิบแล้วจึงดูสุขุมนุ่มนวลมากกว่าเดิม ส่วนเจียงอีเหนียงนั้นเยาว์วัยกว่านางไปสองปี สตรีทั้งสองเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญไปเข้าตานายท่านซิ่วหวงเข้า เขาจึงรับพวกนางมาเป็นอนุภายในเรือน
แม้แรกๆ จะได้รับความโปรดปรานอยู่บ้างแต่สุดท้ายก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวและถูกทอดทิ้งไว้ในเรือนหลัง หลังจากที่คลอดบุตรชายให้แก่นายท่านหนึ่งคน เพราะไม่อยากให้บุตรชายถูกนายหญิงใหญ่กลั่นแกล้งรังแก พวกนางจึงยอมอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนเสมอมา
ณ เรือนนอนของฮูหยินผู้เฒ่า
“เหมยเอ๋อร์… ย่ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กฉลาด เจ้าเคยได้ศึกษาเกี่ยวกับการทำบัญชีมาบ้างหรือไม่”
“เจ้าค่ะท่านย่า หลานเคยได้ศึกษามาบ้างยามที่อยู่สำนักศึกษาหลุนซี” ชิงเหมยตอบตามสัตย์จริง
“ดี…ดี… ถ้าเช่นนั้นระหว่างที่เจ้าอยู่ที่นี่ ช่วยย่าตรวจดูบัญชีในจวนให้ย่าหน่อยได้หรือไม่” ชิงเหมยเบิกตาโตเพราะงานที่ท่านย่ามอบหมายให้นางทำนั้นดูเหมือนว่าจะเกินกำลังของนาง นางจึงรีบปฏิเสธและขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าทบทวนอีกครา
“ท่านย่า โปรดพิจารณาดูอีกทีด้วยเถิดเจ้าค่ะ งานสำคัญเช่นนี้จะมอบหมายให้หลานดูแลได้เช่นไร อีกอย่าง…หลานก็เป็นเพียงแค่คนนอก หาใช่คนในตระกูลซิ่วไม่”
“เจ้ากล่าวอันใดเยี่ยงนั้น เจ้าเองก็คือหลานสาวของย่าอีกคน อีกอย่างหน้าที่ดูแลบัญชีเดิมทีก็เป็นของพวกเราเหล่าสตรีเรือนหลังอยู่แล้ว ภายภาคหน้าหากเจ้าออกเรือนไป เจ้าก็ต้องรับหน้าที่ดูแลบัญชีให้เรือนของสามีเจ้าอยู่ดี เจ้าไม่ใช่บุตรีที่เกิดจากอนุภรรยา ท่านพ่อของเจ้าก็เป็นถึงวีรบุรุษในสนามรบ มีหรือจะตกแต่งกับบุรุษที่ด้อยกว่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าแย้งออกมาพลางมองดวงหน้างามของหลานสาวอย่างตัดใจไม่ลง อีกไม่นานนางก็ต้องปล่อยหลานสาวไปอีกครา แต่ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่หลานสาวต้องการ นางก็จะไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด
“หากท่านย่าไว้ใจ หลานก็พร้อมที่จะเรียนรู้และตั้งใจทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
ชิงเหมยคิดทบทวนดูแล้วก็เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อตนเองในภายภาคหน้าไม่น้อย นางจึงยินยอมที่จะทำตามความต้องการของผู้เป็นย่า
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีปักปิ่นของเจ้าแล้ว ประเดี๋ยวย่าจะส่งคนให้ไปรับท่านยายของเจ้ามาที่นี่”
“ขอบพระคุณในความเมตตาของท่านย่าเจ้าค่ะ”
เพียงแค่ได้ยินว่าตนเองจะต้องเข้าพิธีปักปิ่น เพื่อเป็นการบ่งบอกว่านางนั้นได้ผ่านพ้นวัยเด็กแล้วก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย ยิ่งไปกว่านั้นคือการได้พบหน้าท่านยายที่ไม่ได้พบหน้ากันมาตั้งหลายวัน ตั้งแต่เดินทางเข้าเมืองถิงฮวาจวบจนวันนี้ก็ปาเข้าไปสิบกว่าวันแล้ว สิบกว่าวันที่ผ่านมานั้นมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
หลังจากที่รับปากกับฮูหยินผู้เฒ่าว่านางจะทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีในเรือนให้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เริ่มสอนการดูแลเรือนหลังให้แก่นางในวันถัดมา ชิงเหมยเรียนรู้เกี่ยวกับการทำบัญชีจากผู้เป็นย่าอยู่เพียงไม่นานนางก็เข้าใจ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมอบหมายให้หัวหน้าพ่อบ้านคอยเป็นผู้ช่วย และอธิบายในสิ่งที่หลานสาวไม่เข้าใจ แรกๆ หัวหน้าพ่อบ้านก็ไม่ค่อยเชื่อใจเพราะเห็นว่าคุณหนูยังเยาว์วัย แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของนาง
สายลมที่พัดมานั้นทำให้ใบไม้พลิ้วไหวปลิดปลิวไปตามแรงของมัน บางใบร่วงหล่นลงบนพื้น บางใบก็ถูกสายลมพัดปลิวไปไกล ร่างเล็กยังคงนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของเรือนนอน แม้สถานที่แห่งนี้จะทำให้นางอยู่อย่างสะดวกสบาย แต่ก็มิอาจทำให้นางอยู่ได้อย่างสบายใจ ชิงเหมยถอดถอนหายใจออกมา ก่อนที่เซียงซุนจะเดินเข้ามาใช้ผ้าคลุมลงบนไหล่ให้นางอย่างเบามือ
“อากาศเริ่มเย็นแล้ว คุณหนูยังไม่ง่วงนอนอีกหรือเจ้าคะ”
อีกสองวันชิงเหมยก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว ท่านย่าสั่งให้ซิ่วหวัง ญาติผู้พี่เป็นผู้เดินทางไปรับท่านยายของนางตั้งแต่เมื่อวาน คาดว่าพรุ่งนี้ก็คงจะเดินทางมาถึงที่จวน
“ท่านย่าของข้าหลับไปแล้วหรือพี่เซียงซุน” ชิงเหมยส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณก่อนที่จะเอ่ยถามสาวรับใช้คนสนิทของท่านย่าออกมาด้วยถ้อยคำที่สุภาพ
“หลับไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”
เซียงซุนตอบกลับพลางมองดวงหน้างามของคุณหนูยิ้มๆ ชิงเหมยนั่งอยู่ตรงนั้นนานกว่าหนึ่งก้านธูป ก่อนที่จะตัดใจถอนสายตาออกมาจากต้นดอกเหมยตรงหน้าแล้วบอกกับเซียงซุนที่ยังคงอยู่กับนาง
“อืม…ข้าง่วงแล้วล่ะ”
ชิงเหมยลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาวที่ติดกับริมหน้าต่างของเรือน ก่อนที่นางจะเดินไปยังเตียงนอนแล้วล้มตัวลงนอน เซียงซุนมองตามร่างเล็ก นางยิ้มจางๆ ออกมาพลางหันหน้าไปปิดหน้าต่าง จากนั้นจึงเดินไปดับไฟตะเกียงที่หัวเตียงแล้วเดินออกจากห้องนี้ไป ชิงเหมยนอนพลิกกายไปมาไม่นานก็ผล็อยหลับไป