สวัสดีครับผมจูเนียร์นะครับ กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮงโด คณะแพทย์ศาสตร์ปีที่ 4 หรือที่เรียกกันว่าชั้น Clinic นั่นเเหละครับ
การเรียนในชั้นปีนี้ก็เหมือนได้ใช้ชีวิตเหมือนเเพทย์อย่างขึ้นมาหนึ่งก้าว เเต่ปี 4 ก็ยังเด็กสุดในวอร์ดอยู่ดี
ผมได้วอร์ดตึกเด็กหรือกุมารเวชเวชศาสตร์ ชีวิตของนักศึกษาเเพทย์ปี 4 หนักมากผมปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน ไหนจะมีพ่อคอยคุมตอนออกราวน์ช่วงเช้าอีก
เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกมันดีขึ้น ก็ตอนนี้นี่เเหละครับ เจอกันเเทบจะตลอดเวลา
อ้อ ช่วงนี้มีเพื่อนรุ่นเดียวกัน เเพทย์ปี 4 ในชั้น Clinic มาทำงานที่โรงพยาบาลพ่อผมด้วยเหมือนกัน
เเล้วก็มีนิสิตเเพทย์หลายคนย้ายสาขาที่เรียนอยู่ โดยที่เหตุผลไปเเนวเดียวกันหมด นั่นก็คือไม่ไหว
ตอนผมขึ้นปีสี่เเรกๆ ผมก็เกือบจะถอดใจเหมือนกัน เเต่ก็ได้พ่อนี่เเหละคอยเตือนสติผม เเละอยากให้ผมอยู่จนครบ 6 ปี
การออกทำความฝันตัวเองจนกว่ามันจะประสบความสำเร็จ มันอาจจะเหนื่อยในช่วงเริ่มต้น ช่วงที่ใกล้จะเข้าเส้นชัย
แต่ถ้าเราทำมันสำเร็จแล้วเราจะรู้สึกว่าคุ้มที่ช่วงเวลาที่เสียไปมันไม่ได้เปล่าประโยชน์เลย
ผมยอมสละช่วงเวลาวัยรุ่นเพื่อสิ่งที่ตัวเองชอบ..
เอาล่ะครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า อย่างที่บอกว่าเรียนมาทางสายนี้อาจจะมีเวลาให้คนรักหรือแฟนไม่มากนัก
แต่ผมมีแฟนแล้ว เราคบกันมาปีกว่าแล้วด้วย เขาก็ดูเป็นผู้ชายที่เทคแคร์ดี พูดจาดี แล้วก็น่ารักดี
ที่จริงเราเรียนจบมาจากที่มหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ผมแทบจะไม่เคยเห็นเขาเลย วันๆ เข้าเรียนที่ไหน
ถ้าผมไม่โทรเช็ค ไลน์จิกนะ เจ้าตัวก็คงเหลวไหลมากกว่านี้แน่
“วันนี้จะไปไหนหรือเปล่าน้องเนียร์”
“ครับพ่อ ไม่ได้ไปไหนครับ กะว่าจะอยู่ช่วยคุณลุงเคลียร์งานก่อนถึงกลับ” ผมว่า
คุณลุงผมเปิดบริษัทค้าหุ้นอะไรพวกนี้ แล้วพอดีว่าผมมีความรู้เล็กๆ น้อยๆ ในการช่วยทำงานบัญชีก็เลยอยากจะช่วยเขาเคลียร์เอกสารไปด้วย เป็นการหารายได้ร่วมด้วย
ผมถึงได้ฉายาว่าหัวหมอไงล่ะ ฮึ
อีกไม่ถึงปีที่ผมจะจบจากการเรียนแพทย์จริงๆ แต่ผมกำลังมองหาที่ศึกษาต่ออยู่ ถ้าไม่ติดขัดเรื่องทางนี้ผมก็อาจจะลุยเรียนท่าเดียวไปเลย
แต่ทุกอย่างมันใช้เวลาเยอะครับ ผมต้องค่อยๆ ตัดสินใจ ส่วนมากที่ผมมาขลุกตัวในโรงพยาบาลก็คงจะเรียนรู้จากสิ่งรอบตัวเพื่อเสริมความรู้ไปด้วย
พ่อผมเป็นคนเก่งมากเลยนะ ที่ผมเรียนหมอก็เพราะว่าอยากจบมาเป็นแบบพ่อนี่แหละครับ
เอาเป็นว่าถ้าเรียนจบผมจะให้ทุกคนเรียกผมว่า ‘หมอเนียร์’ แทน ‘น้องเนียร์’ ก็แล้วกันนะครับ
“ไปทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อหน่อยสิ เนี่ยพ่อนัดคุณหญิงพิมพรเอาไว้แล้ว”
"พ่อทำอะไรไม่นัดผมเลยนะครับ"
"ถ้าพ่อนัดไว้ล่วงหน้าน้องเนียร์ก็ไม่ไปกับพ่ออยู่ดี"
"เสียใจด้วยนะครับ ถึงพ่อมาบอกผมตอนนี้ผมก็ไม่ไปอยู่ดีครับ"
"น้องเนียร์"
“ไว้วันหลังนะครับพ่อ ผมไม่ว่าง”
ผมพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะพับเก็บเอกสารของตัวเองเอาไว้ในห้องทำงาน พร้อมกับถอดเสื้อกราวน์สีขาวออกแขวนไว้ในที่เดิม
มันอาจจะเป็นความฝันผมในวัยเด็กที่ชอบฝันว่าอยากเห็นตัวเองใส่เสื้อกราวน์สีขาวพอโตมากก็เลยใส่ติดแบบนี้นี่แหละ
ทีนี้รู้หรือยังครับว่าทำไมพ่อผมถึงเรียกว่าน้องเนียร์
“ครั้งนี้พ่อจะปล่อยเรานะน้องเนียร์ ครั้งหน้าพ่อไม่ให้เราปฏิเสธอีกแล้วนะ เข้าใจพ่อใช่ไหม..”
“ครับ..” ผมตอบกลับเขาไป ก่อนจะเดินออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อย
เรื่องแฟนผมยังไม่ได้บอกพ่อหรอก มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรกับเขาอยู่แล้ว
แต่การจะมาจับคู่หรืออะไรพวกนี้คิดว่าคนหัวหมอแบบผมจะยอมเขาง่ายๆ หรือยังไง
แสดงว่าพ่อยังรู้จักลูกคนนี้ของตัวเองไม่ดีพอน่ะสิครับ ฮึ
โรงพยาบาล Q เป็นโรงพยาบาลของพ่อผมเองครับ ถ้าผมจบออกมาก็ช่วยพ่อที่นี่แหละ
ส่วนแม่ผมอยู่บ้านคอยเลี้ยงน้องแมวซะมากกว่า เห็นบอกอยู่บ้านคนเดียวแล้วเหงา แต่เลี้ยงแมวแล้วมีความสุข ผมก็ตามใจเขาครับ
ที่จริงผมเป็นคนห้ามไม่ให้เขาทำงานเองเพราะว่าผมเองก็ใกล้จะจบแล้วด้วย
อีกอย่างตอนนี้ก็มีรายได้ระหว่างเรียนอยู่ ผมก็ให้แม่ไว้ใช้ทุกเดือน ผมไม่อยากให้แม่ออกไปทำงานที่อื่นครับ
ท่านเหนื่อยมามากแล้วกว่าที่จะมีวันนี้กับพ่อ เพราะงั้นผมก็อยากจะช่วยแบ่งเบาจากพวกเขาบ้างแค่นั้นเอง
“ฮัลโหลโฮม อยู่ไหน ผมเลิกแล้วนะ” ผมกรอกเสียงลงไปตามสาย หลังจากที่เดินมาถึงหน้าโรงพยาบาลแล้วเรียบร้อย
เป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่งแล้วแต่เขาก็ยังตื่นมารับสายผมอยู่ดี
เห็นไหมล่ะครับผมบอกแล้วว่าเขาน่ารัก
(โฮมอยู่คอนโดอะ เดี๋ยวออกไปรับนะ)
“ให้ผมขับรถกลับเองไหม คุณดูเหนื่อยๆ นะ”
(ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวคุณหมอก็หลับกลางอากาศอีก ให้ผมไปรับดีกว่า) เสียงงัวเงียจากปลายทางทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาน้อยๆ
วันๆ เรียนในห้องก็แทบจะไม่มีเวลาได้หลับแล้ว ถ้าหาโอกาสได้ที่ไหนก็คือหลับ
ให้ผมเลือกนะระหว่างกินข้าวกับนอนหลับ ผมเลือกนอนครับ เพราะผมแทบหาเวลานอนให้ตัวเองไม่ได้เลย
ขนาดเวลาโฮมมารับผมก็ต้องอ่านหนังสือควบคู่ไปด้วย มันเหนื่อยแต่ผมเชื่อว่าผมทำได้
“โอเค ผมรอคุณอยู่หน้าโรงพยาบาลนะ”
(โอเคครับ)
ผมวางสายแล้วหาที่นั่งตรงโต๊ะหินอ่อนด้านหน้า
ตอนนี้อย่างที่บอกว่ามันจะตีหนึ่งแล้ว แต่ยังคงมีผู้คนเข้าออกโรงพยาบาลพลุกพล่านเต็มไปหมด
โรงพยาบาลของเรามันเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ คนก็เลยค่อนข้างเยอะ
บางครั้งคนรักษามีไม่พอคนเจ็บ แบบนี้ผมถึงอยากจะเรียนให้เก่งและต้องจบเพื่อที่จะช่วยพวกเขา และผมจะต้องจบออกมาเป็นคุณหมอที่มีประสิทธิภาพครบเครื่องแน่นอน
เเต่ตอนนี้ผมได้เวลาออกเวรเเล้ว เป็นเหมือนช่วงเวลาเเห่งสวรรค์ ผมจะได้นอนพักสักที
สายตาผมกำลังนั่งไล่สมุดโน้ตที่ตัวเองจดมันด้วยลายมือยุกยิกตอนที่ฟังอาจารย์พูดอยู่
ผมก็จดตามเขาในนี้นี่แหละ จะได้เอากลับมาอ่านทีหลังได้อีก เวลานั่งรอโฮมจะได้ไม่เสียเวลาด้วย
แต่ยังอ่านไม่ถึงไหนผมก็โดนสิ่งรบกวน แสงไฟจากรถยนต์สาดส่องมาทางผมพอดีเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผมเงยหน้ามองแล้วต้องหรี่ตาสู้แสง ก่อนที่จะเก็บสมุดโน้ตลงกระเป๋าเป้ตัวเองตามเดิม
“ให้ผมช่วยนะครับ” ผมเอ่ย ก่อนที่จะเข้าไปช่วยพยุงคุณยายวัยราวเจ็ดสิบกว่าๆ ลงจากรถ แล้วพาลงมานั่งบนรถเข็นวิวแชร์ตรงล็อคด้านหน้า
เพราะคนที่มามีแค่คนขับรถแล้วเธอก็เป็นผู้หญิงซะด้วย ขับรถในตอนกลางคืนคงอันตรายน่าดูแถมต้องพาผู้สูงอายุมาอีกด้วย
“ขอบคุณมากนะคะ” เธอว่าพร้อมรอยยิ้ม คุณยายเองก็หันมายิ้มให้ผมด้วยเช่นกัน
“ดูแลสุขภาพด้วยนะครับคุณยาย อยู่กับลูกหลานไปนานๆ นะครับ” ผมพูดพร้อมรอยยิ้ม
เห็นแล้วคิดถึงคุณย่าเลยครับ ไม่รู้ตอนนี้จะนอนหลับไปแล้วหรือยัง
คุณย่าชอบดื้อไม่ยอมนอนเพราะรอผมไปหาตลอดเลย ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลา
แต่พอจะมีวันหยุดทีผมก็ชอบใช้ชีวิตอยู่บ้านหรือไม่ก็ตามใจโฮมเขาซะมากกว่า
“ขอบใจจ้ะหนู..”
ผมยืนรอบุรุษพยาบาลมาทำหน้าที่แต่ดูเหมือนว่าด้านในจะค่อนข้างชุลมุนไม่น้อย แต่ไม่นานบุรุษพยาบาลก็มาเข็นพาคุณยายไปด้านในเรียบร้อย
ผมพ่นลมทิ้งสั้นๆ ไม่ใช่เพราะสิ้นหวังแต่มันเป็นเพราะผมได้แรงบันดาลขึ้นมานิดๆ แล้วล่ะครับ
แค่นี้ผมว่าทั้งวันที่ผมเหนื่อยมามันก็หายไปซะดื้อๆ แล้วล่ะมั้ง
อืม ผมคิดว่ารอยยิ้มของพวกเขาคือความสุขของผมนะครับ :)
“หมอเนียร์”
“โฮม..”
ผมหันไปตามเสียงเรียกของใครบางคนที่ผมจำเสียงเขาได้ดี
คนตัวสูงกำลังยืนอ้าแขนอยู่ข้างๆ รถของเขาแล้วฉีกยิ้มกว้าง ตาหยีนิดๆ
ผมเดินเข้าไปสวมกอดเขาแน่นเป็นการชาร์ตพลังก่อนนอนไปด้วยเลย อันที่จริงผมก็อยากจะอยู่อ้อนเขาทั้งคืนนั่นแหละแต่ติดที่พรุ่งนี้มีเรียนเช้า
น่าเสียดาย..
“เหนื่อยไหมเนี่ย หื้ม?” คนตรงหน้าพูดพลางลูบที่หัวผมปอยๆ ขณะที่ผมกำลังซุกอกแกร่งของเขาอยู่
อ่า โฮมตัวอุ่นแล้วก็น่านอนมากเลยครับ
ปกติถ้าผมไม่นอนที่หอพักที่มหาวิทยาลัยผมก็จะนอนกับเขานี่แหละ
บางทีเขาก็จะมานอนที่หอผมด้วย สลับกันไปมาแบบนี้ก็ดีนะ ผมจะได้เช็คสาวๆ เขาด้วย ได้ข่าวว่าฮอตเหลือเกิน ฮึ
แต่น่าแปลกที่เวลามีเขาอยู่ด้วยทีไร ผมนอนหลับสบายทุกที
“ก็เหนื่อย แต่ก็สนุกดี” ผมตอบกลับแต่ดวงตายังคงปิดสนิท
“คืนนี้นอนค้างห้องผมนะ”
“พรุ่งนี้มีเรียนเช้าอะดิ” ผมปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ได้อยากจะปฏิเสธเขาหรอกนะครับ แต่พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าเลยน่ะสิ ไม่งั้นก็จะตามใจโฮมอยู่หรอก
“ตื่นทันอยู่แล้วแหละ เดี๋ยวโฮมปลุกคุณก็ได้” คนตัวโตกว่าว่าน้ำเสียงกระเง้ากระงอด แถมยังฮึดฮัดใส่ผมอีกด้วย
นี่ไงพอตื่นมาแล้วโดนขัดใจก็งอแงแบบนี้ใส่ แล้วอย่างนี้ทำไมทุกคนยังมองว่าโฮมเป็นเสืออยู่ล่ะครับ เห็นไหมเขางอแงเหมือนลูกแมวชัดๆ
“โฮมขี้เซาจะตาย จะตื่นทันเหรอ ไม่ใช่ผมปลุกคุณแล้วมาหงุดหงิดใส่นะ” ผมบอกแล้วเงยหน้ามองเขา
“ถ้าตื่นไม่ทันคุณหมอก็ปลุกผมสิครับ น้า~ คืนนี้นอนค้างห้องโฮมนะครับ”
เด็กน้อยตรงหน้าก็ยังไม่ลดละความพยายามจนผมเริ่มตอบเสียงอ่อนกับเขา
อันที่จริงสายตาของเขาค่อนข้างมีอิทธิพลกับผมไม่น้อย แล้วสายตาของโฮมก็บอกอะไรผมหลายอย่าง
เวลาเจ้าตัวโกหกมีหรือที่ผมจะจับไม่ได้..
“ผมมีเรียนเช้าโฮม..”
“ทำไมคุณหมอใจร้ายจังครับ อุตส่าห์มารับไปนอนด้วยนะเนี่ย คิดถึงอะ ..อยากฉีดยาให้” เขาตอบแล้วเบะริมฝีปากล่างเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะฟัดแก้มผมทั้งสองข้างเบาๆ
โชคดีที่แถวนี้ไม่มีคนพลุกพล่านผมก็เลยไม่ได้ว่าอะไรเขา ที่จริงการแสดงออกว่ารักกันมันก็ดีนะครับ แต่เราก็ต้องเคารพสถานที่ด้วย
ความจริงก็คือผมกลัวพ่อมาเห็นด้วยแหละ เดี๋ยวจะนั่งเทศนาจนผมไม่ต้องนอนกับพอดีวันนี้
คิดถึงหรือต้องการอย่างอื่นกันเเน่.. คนเจ้าเล่ห์
“แค่นอนนะ เรื่องอื่นเอาไว้วันหลัง สัญญาไหม?” ผมว่า พร้อมกับชูนิ้วก้อยไปตรงหน้าคนตัวสูง ซึ่งเขาก็เกี่ยวก้อยอย่างว่าง่ายแล้วก็รับปากผมด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเเฝงตวามเจ้าเล่ห์อยู่เต็มไปหมด
ถึงเเม้ผมจะรู้ดีว่าคืนนี้ยังไงเขาก็ไม่ทำเเค่นอนอยู่เเล้ว เเต่ผมก็ยังเลือกที่จะไปอยู่ดี
ลูกเเมวมันอ้อนทำไงได้ล่ะ ฮึ
“สัญญาครับ แค่นอนอย่างเดียว”