ความเดิม- "นั่นนะซิ ถ้าเค้าจะลงเอยกันลุงก็ไม่ขวางนะ ขอให้ลูกมีความสุขลุงยอมทั้งนั้น ลุงมีบทเรียนราคาแพงเรื่องพ่อของน้องเอ๋ยมาแล้ว ลุงจะไม่มีวันให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเด็ดขาด" ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
........................................
ตัดมาที่เปรมมนัสแม้วันนี้จะเป็นวันหยุดแต่ชายหนุ่มเลือกที่จะเข้าออฟฟิศเพื่อตรวจตราเอกสารและเซ็นเอกสารที่คั่งค้างบางอย่าง ในขณะที่ในหัวก็มีแต่เสียงของหลานสาวที่ดังวนเวียนเหมือนเป็นเพลงวนหรูบไปเรื่อย ๆ
เปรมมนัสพาร์ท
{วันนี้เป็นวันเสาร์ผมรู้สึกเบื่อ ๆ จึงเข้าออฟฟิศมาดูเอกสารไปเรื่อยเพราะไม่อยากฟุ้งซ่าน เพราะรู้สึกเหมือนหลอกเด็กคราวลูกคราวหลานยังไงก็ไม่รู้ ตอนนี้ในหัวผมมันมีเสียงของหลานสาวเต็มไปหมด คำพูดของน้องเอ๋ยที่พูดว่าให้ผมถามใจตัวเองดู ใช่ผมต้องหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง ผมใช้เวลานั่งเงียบ ๆ คนเดียว อยู่กับตัวเอง ทบทวนเรื่องราวทั้งหมด มันทำให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความรัก และความหลงไหลได้ปลื้ม เพราะยัยผีดิบนั่นไม่มีอะไรให้น่าหลงไหลได้ปลื้มเลยสักนิดเดียว ออกจะน่าเป็นห่วงเสียด้วยซ้ำ จะว่าเป็นความสงสารหรือ ก็ใช่ แต่ทำไมไม่สามารถตัดออกไปจากห้วงความคิดได้ ผมปลงใจแล้วว่าจะค้นหาคำตอบว่านั่นคือความสงสารหรือความรักกันแน่ เพราะผมก็ไม่อยากตัดสินใจอะไรแบบรีบด่วนจนเกินไปเหมือนกัน แต่จะทำยังไงดีล่ะให้ผมมีโอกาสได้ใกล้กับเด็กนั่น คนแรกที่ผมคิดถึงคือหลานสาวคนสวยของผมทันที}
ชายหนุ่มตัดสินใจขับรถกลับบ้านเพราะทุก ๆ วันเสาร์หลานสาวตัวดีจะมาฝึกทำขนมกับคุณพ่อของเธอและกลับในช่วงเย็น ๆ
@บ้านอนันตวรรณาวงษ์
"อ้าวนายนัทมาพอดี พ่อกำลังคุยเรื่องของเรากับหลานกรอยู่พอดี" ชายชราเอ่ยยิ้ม ๆ
"ว่าไง ตัดใจไม่ลงว่างั้น แต่นายดีกว่าฉั๊นมากนะเว้ย ตอนที่ฉันเจอน้องเอ๋ยยังไม่สิบห้าดีเลย ฉั๊นต้องอดทนขนาดไหน นี่แกยังดีนะที่น้องเกินสิบแปดแล้ว"
"แต่ก็สิบเก้าปีเองมั๊ยว๊ะ ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะอยู่ดี แถมพี่ชายทั้งหวงทั้งห่วงปกป้องยังกะแม่ไก่ ใครเข้าใกล้ทั้งจิกทั้งเตะ" เปรมมนัสพูดอย่างระบายความรู้สึกอัดอั้นจากข้างใน
"แล้วเจ้าตัวเค้ามีปฏิกิริยาอะไรบ้างมั๊ยวะ"
"เฉย ๆ ว่ะ ยิ่งอยู่ด้วยกันสองต่อสองนี่หงอเชียว ไม่กล้าอือไม่กล้าหือ มองหาแต่ทางหนีทีไล่อย่างเดียวเลย"
"เป็นเพราะว่าเราเคยมีปากมีเสียงกับน้องหรือเปล่า น้องเลยคิดว่าเราแค้นฝังหุ่น" เปรมชัยออกความเห็นบ้าง
"คนที่แค้นฝังหุ่นไม่น่าจะเป็นผมหรอกครับคุณพ่อ น่าจะเป็นเค้าเสียมากกว่าแหละผมว่า"
"ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า..นายเปรมมนัสผู้สุขุมนุ่มลึก เจอเด็กปราบแล้วเว้ย ขอให้ใช่นะเพื่อนคงดูดีพิลึก เหนือฟ้ายังมีฟ้านะฉั๊นว่า"
"หึหึ พ่อชักอยากจะเห็นหน้าเด็กคนนี้เสียแล้วซิ"
"นี่ครับพ่อ หน้าตาก็ธรรมดา ๆ แหละครับ" เปรมมนัสเปิดรูปบุคคลที่สามให้ผู้เป็นบิดาดู
"หน้าตาน่ารักเลยนะนั่น ตาหวานเชียว โอ..มีลักยิ้มด้วย แต่ตัวเล็กไปหน่อย น้องเอ๋ยพ่อก็ว่าตัวเล็กแล้วนะ นี่ดูตัวเล็กกว่าน้องเอ๋ยอีก"
"เหมือนผีดิบมั๊ยครับพ่อ"
"ทำเป็นพูดดีไป ได้ข่าวว่าตอนเค้าโดยกระเบื้องบาดเท้านี่รีบล็อคตัวน้องมาดูแผล พี่ชายเค้าจะพาไปหาหมอก็รีบบอกว่าตัวเองก็เป็นหมอเหมือนกันเลยไม่ใช่เร๊อะ"
"ฝีมือยัยตัวเล็กอีกใช่มั๊ยครับ ชักจะเก่งขึ้นทุกวันแล้วนะเนี่ยหลานคุณพ่อน่ะ เก็บรายละเอียดเก่งจริง/นายต้องระวังเอาไว้บ้างแล้วนะนายกร ห้ามทำอะไรไม่ดีลับหลังนางเด็ดขาด นางจับผิดเก่ง" เปรมมนัสบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายและหันไปโยนให้เพื่อนรัก
"ไม่มัํง ทีเรื่องของตัวเองกลับไม่รู้ไม่ชี้ซ๊ะงั้น" ปกรณ์เอ่ยแย้ง
อีกด้านของผู้มาใหม่
-..ขนมมาแล้วค่า นี่ถาดแรกเลย ช่วยชิมให้หน่อยนะค๊า..- เสียงเชิญชวนชิมขนมคุ๊กกี้สูตรใหม่ที่ดังมาจากในครัว
"นู่น เสียงตัวช่วยดังมานู่นแล้ว" ชายชราเอ่ยยิ้ม ๆ
"ขนมค่ะ นี่สูตรใหม่ค่ะ ลองชิมซิคะ น้องเอ๋ยตั้งใจทำสุดฝีมือเลย"
"ไหนคุณปู่ลองชิมหน่อยซิคะ..อื้มอร่อยนุ่มละลายในปากเลยค่ะ คุณปู่ขอหมดจานเลยได้มั๊ยคะ" ชายชราต่อรอง
"เห็นจะไม่ได้ค่ะ คุณแม่สั่งไว้ว่าถ้าคุณปู่หรือคุณพ่อมีค่าน้ำตาลหรือไขมันสูงขึ้น จะงดไม่ให้น้องเอ๋ยมาฝึกทำขนมคุ๊กกี้ที่นี่อีกแล้วค่ะ เพราะฉะนั้น คุณปู่กินได้ไม่เกิน...อืม...ห้าชิ้นค่ะ ห้าชิ้นก็พอ แล้วต้องเดินออกกำลังกายรอบ ๆ บ้านสักสองสามรอบก็น่าจะได้นะคะ เดี๋ยวน้องเอ๋ยเดินเป็นเพื่อน" เด็กสาวเอ่ยอย่างแสนซื่อ
"เหรอลูก..งั้นคุณปู่กินแค่สองชิ้นก็พอลุก แล้วเดินในบ้านสักสองสามรอบก็พอได้มั๊ยคะ"
"คุณอาหมอทั้งสองว่ายังไงละคะ พอได้มั๊ย"
"ได้ค่า..หึหึ" ปกรณ์เอ่ยยิ้ม ๆ แต่อีกคนทำคิ้วขมวดมองบิดาและหลานสาวอย่างเหนื่อยหน่ายระคนเอ็นดู
"อานัทไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอกค่า น้องเอ๋ยจะช่วยอยู่ เดี๋ยววันจันทร์นี้จะพาไปพบคุณแม่ที่บ้านค่ะ ให้พี่เอได้คุยกับคุณแม่เลยจะได้อุ่นใจ เดี๋ยวน้องเอ๋ยล็อบบี้คุณแม่เลย ห้ามกลับช้าด้วยวันนั้น" เด็กสาวเอ่ยเสียงใสและส่งคุ๊กกี้เข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ อย่างเอร็ดอร่อย
"นี่คุ๊กกี้สำหรับทุกคนคร้าบ นี่ของกร นี่ของคุณแม่นะคะน้องเอ๋ย" เปรมกิจเอ่ยยิ้ม ๆ แล้ววางโหลคุ๊กกี้แสนลงบนโต๊ะกลาง ซึ่งทุกคนก็ได้แต่ทำความเข้าใจในบุคลิกที่เปลี่ยนไปของหนุ่มใหญ่ ซึ่งได้แค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว