*****เกริ่นนำ*****
จวนชินอ๋องเมื่อครั้งเพิ่งย้ายมาอยู่ผิงโจว
ตรงพุ่มดอกไม้หอมกรุ่นที่มีน้ำผึ้งหวานเต็มเกสรจนล้นทะลัก เด็กน้อยหลินซูซินชอบตรงนี้มาก จึงนั่งตัวกลมดิกไม่ยอมไปไหน กินดอกนั้นเลียดอกนี้และขย้ำเคี้ยวหยุบหยิบอย่างมิอาจห้ามใจ กระทั่งแก้มป่องๆ ของตนถูกมือเล็กป้อมของใครอีกคนบีบแรงๆ จนนางสะดุ้งตัวโยน
ครั้นหันหน้าไปเบิกตากลมโตจ้องมอง นางพลันตกใจ
เป็นนายน้อย จ้าวเฟิงฉี อีกแล้ว...
การทักทายยังคงเหมือนเดิมทุกครั้งคือบีบเนื้อข้างแก้มอย่างเข่นเขี้ยวตามประสาเด็กผู้ชาย ทำเอาเด็กหญิงตัวน้อยต้องร้องไห้จ้าแผดเสียงดังลั่นด้วยความเจ็บแปลบไปทั้งแก้ม รีบลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเพื่อวิ่งหนีผู้เป็นนายที่ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผา
จ้าวเฟิงฉีได้ทักทายแล้วก็รู้สึกพึงพอใจจึงยืนมองเจ้าตัวกลมที่วิ่งดุกดิกอย่างขวัญเสีย เท่านั้นยังไม่พอ เขายังหัวเราะรื่นเริงอย่างสาสมใจไล่หลังเล็กๆ นั่นไปจนสุดทางอีกด้วย
เสียงหัวเราะก้องกังวานอันสดใสของนายน้อยจ้าวเฟิงฉีวัยห้าขวบในสายตาของเด็กหญิงหลินซูซินวัยสามขวบย่อมกลายเป็นเสียงหัวเราะอันชั่วร้ายตลอดกาล...
คืนวันผันผ่าน กระทั่งหลินซูซินอายุสิบห้าปีเต็ม
สาวน้อยสะดุ้งตื่นจากฝันร้ายที่ดำเนินอย่างยาวนานทั้งคืน
ภาพจำฝังแน่นว่าจ้าวเฟิงฉีคือบุรุษใจร้ายที่สุดในใต้หล้ายังคงติดตรึง เพียงแต่นิสัยเย็นชาไร้ไมตรีของเขากลับทำให้นางทึ่ง
สิ่งหนึ่งที่ฝังตรึงในหัวใจนางยามนี้กลับมิใช่คำว่าหวาดหวั่นและขลาดเขลาอีกต่อไป
แต่เป็นรักฝังใจมิอาจลืมเลือน...
*****แนะนำตัวละคร*****
หลินซูซิน
บุตรสาวของพ่อครัวแม่ครัวประจำจวนชินอ๋อง
จ้าวเฟิงฉี
บุตรชายคนโตของชินอ๋อง เลือกเส้นทางสายบู๊ฝักใฝ่ยุทธภพ ไม่สนใจงานบุ๋นปกครองเมือง
ติงอี้เทา
เจ้าสำนักยวี้จู๋ ท่านตาทวดของจ้าวเฟิงฉี
เกาหมิง
อดีตชายคนรักของหลินซูซิน
จางจิ่วเม่ย
ญาติสาวฝั่งมารดาของเกาหมิง
**************************
หลังจากผ่านพ้นภาวะฝันร้ายเสมือนจริงอันยาวนาน
หลินซูซินก็ตื่นขึ้นมาอย่างตะลึงลาน นางอึ้งงันอยู่เป็นนาน
ครั้นได้สติก็รีบลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัวออกจากห้องส่วนตัวในเรือนหลัก เดินลงบันไดตรงไปในเรือนของโรงครัวทันที
เมื่อมาถึงจึงเห็นมารดากำลังนั่งรับลมตรงหน้าเรือนเล็กและคัดเลือดยอดใบชา เป็นภาพอันเรียบง่ายที่ฉายความสุขสงบ
ฉับพลันนั้นภาพหนึ่งพลันปรากฏในห้วงคะนึงของหลินซูซิน เป็นภาพยามที่มารดานั่งซบหน้าร้องไห้ในพิธีศพของนาง
ทั้งบิดามารดาร้องไห้ปานขาดใจจนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด กระทั่งล้มป่วยนอนซม สภาพไม่ต่างจากตายทั้งเป็น
พวกท่านไม่อาจยืนหยัดลุกขึ้นมาทำอาหารจัดขนมในแบบที่ตนรักเท่าชีวิตได้อีกเลย
จวนสกุลหลินคล้ายตกอยู่ในขุมนรกทั้งที่ไร้ความผิด บิดามารดาที่ทำดีมาตลอดทั้งชีวิตกลับตกอยู่ในสภาพน่าอดสู
หลินซูซินนิ่งขึง ปล่อยความคิดชั่วแล่นนั้นลามไปทั่วสรรพางค์กาย กระแทกไปทั้งหัวใจ
หญิงสาวไม่ทันคิดอันใดก็พลันวิ่งเข้าไปหามารดาทันที
หลินซูซินสวมกอดมารดาแน่นทั้งรักทั้งหวงแหนแสนห่วงใย นางเพิ่งผ่านฝันร้ายอันยาวนานมา ในฝัน บิดามารดาที่เพิ่งพบหน้าต้องจากกันไกลแสนไกลชั่วนิรันดร์อย่างไม่น่าให้อภัย
ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใดแต่นางมั่นใจมากว่ามิใช่แค่ฝัน
จูจื่อฉิงกำลังนำยอดใบชาขึ้นตากแห้งตรงชั้นไม้ริมลาน เอียงหน้ามองบุตรสาวที่เกาะหนึบตรงแผ่นหลังด้วยสีหน้างงงัน
“เจ้าเด็กคนนี้ จู่ๆ เป็นอันใด? หืม...”
หลินซูซินพลันชะงัก นางทำมารดาตกใจเสียแล้ว จึงตั้งสติแล้วถามเบาๆ
“ท่านแม่ ปีนี้คือปีใดวันที่เท่าไรแล้วเจ้าคะ?”
จูจื่อฉิงมุ่นคิ้ว ฉงนเข้าไปใหญ่ “ปีนี้รัชศกหย่งชินที่สิบสี่ วันที่แปดเดือนห้า ทำไมหรือ?”
หลินซูซินเบิกตาโต รีบหันหลังเดินกลับห้องอย่างรวดเร็ว ลืมกิริยามารยาทที่พึงมีไปสิ้น
รัชศกหย่งชินปีที่สิบสี่...
หรือว่า...นางย้อนกลับมาตอนอายุสิบห้าปี!
หญิงสาวนั่งลงบนเตียงนอนอย่างอ่อนแรง นับนิ้วคำนวณวันเวลาอย่างแตกตื่น วันนี้วันที่แปดเดือนห้า นางยังไม่ได้แต่งงาน
แววตาแตกตื่นพลันมีประกายดีใจแล่นลามกระจายเกลื่อน
แต่ช้าก่อน นางยังต้องพิสูจน์ให้กระจ่างแก่ใจถึงจะถูก หากจำไม่ผิด พรุ่งนี้คือวันที่เกาหมิงพักผ่อนสมองอันเคร่งเครียด ว่างเว้นจากตำราปราชญ์อันเคร่งครัด จึงไปเดินหย่อนใจที่ตลาดฝั่งตะวันตก นางเองก็ต้องเดินซื้อของเช่นกัน แล้วนางก็นัดเจอกับเขา
พวกเราเป็นถึงว่าที่คู่หมายที่บิดามารดาต่างวางตัวเอาไว้ จึงเดินเล่นด้วยกัน จากนั้นก็เจอกับจางจิ่วเม่ยโดยบังเอิญ ทว่า...
หลินซูซินหลับตา นึกไปถึงเรื่องราวในฝันอันยาวนานนั้น หลังจากนางตายพร้อมลูกในครรภ์ สวรรค์คล้ายเมตตาให้นางได้เบิกเนตรจนกระจ่างแก่ใจ ทำให้นางได้ล่วงรู้ทุกสิ่ง
แท้ที่จริง เหตุการณ์วันรุ่ง เกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยมิใช่เจอกันโดยบังเอิญ แต่ยังเดินคุยกันตลอดเส้นทาง ส่วนนางก็คือผู้ขัดขวาง เป็นตัวอุปสรรคในรักทำให้พวกเขาต้องผละจากห่างกันชั่วคราว
นิทานประโลมโลกที่เคยอ่าน หลินซูซินคือนางมารในเรื่องนี้
หลินซูซินต้องการรู้ว่าทุกเรื่องในฝันจะเกิดขึ้นหรือไม่ และเรื่องที่นางรู้ในฝันจะเท็จจริงเพียงใด
วันรุ่งขึ้น นางจึงเร่งออกจากเรือนมาที่ตลาดฝั่งตะวันตกก่อนเวลานัดหมายล่วงหน้าพอควร เป็นเวลาที่คำนวณแล้วว่าใกล้จะได้เจอเกาหมิงกับจางจิ่วเม่ย
หญิงสาวนั่งอยู่บนหอสูงของโรงน้ำชามองลงไปทางทิศหนึ่ง และนางก็ได้เห็น เกาหมิงกำลังเดินทอดน่องอยู่กลางตลาดไม่ไกลจากสายตานาง ท่าทางของเขาคล้ายกำลังรอเวลานัดหมาย
จังหวะนั้น จางจิ่วเม่ยพลันเดินเข้าหาเขาอย่างจงใจ ทักทายปราศรัยอย่างสดใสร่าเริง เกาหมิงแย้มยิ้มอบอุ่นตามวิสัย พูดคุยโต้ตอบกลับอย่างมีมารยาท ไม่ใกล้ชิดไม่ห่างเหินเกินพอดี ท่าทีกึ่งโอนอ่อนกึ่งผลักไสแลดูเข้าที ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่เป็นนานคล้ายมีเรื่องให้พูดจาต่อคำไม่จบสิ้น ท่าทางถูกคอกันพอควร
หลินซูซินนั่งมองอยู่ครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นแล้วออกจากหอน้ำชา นางทำท่าเดินเข้าไปตามปกติเหมือนเพิ่งมาถึงตามที่นัดกันไว้
หญิงสาวใช้เวลาเดินลงบันไดคดเคี้ยวเลี้ยวไปตามทางชั่วครู่ ชายหญิงคู่หนึ่งจึงลับตานางไปชั่วคราว
และแล้วก็เป็นตามภาพฝัน คือเกาหมิงเดินเข้าหานางด้วยรอยยิ้มอบอุ่นทันที ท่าทางของเขาประหนึ่งเดินอยู่คนเดียวมานาน
“น้องซูซิน...”
น้ำเสียงอ่อนนุ่มและสีหน้าของเกาหมิงยังคงอ่อนโยนไม่ต่างจากความทรงจำ
เขามีดวงหน้าหล่อเหลากับแววตาสุขุมลุ่มลึกเปี่ยมเสน่ห์เฉพาะบุรุษ แม้ในเวลาหลับยังแฝงความงดงามให้คนประทับใจ เพียงแต่ดวงหน้าราวรูปสลักของเขายามนี้ ถูกภาพจำในชาติที่แล้วกดทับความวิจิตรไปเสียสิ้น
เสื้อตัวยาวสีขาวสะอาดตาเพียงทำให้เขาดูสง่าและภูมิฐานเช่นบุรุษคนหนึ่งเท่านั้น
ไหนเลยจะยังคงมีความน่าเคารพชวนนับถือเหลืออยู่อีก