เสี้ยววินาที
“โอเซอกูร์! โอเซอกูร์!” ร่างโปร่งเพรียวที่อยู่ในชุดกางเกงยีนขายาวกับเสื้อโค้ทหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มกับรองเท้าบูทคู่เก่า กำลังวิ่งตะโกนร้องเรียกให้คนช่วยเธอ ด้วยภาษาฝรั่งเศสเสียงดังลั่น สาวน้อยร้องเรียกให้คนช่วยไปเรื่อยๆ ตลอดทาง เท้าเล็กวิ่งไล่ตามเจ้าหัวขโมยที่บังอาจฉกชิงวิ่งราวเอากระเป๋าสะพายของเธอไปอย่างรวดเร็ว
อลิชชาวิ่งตามหัวขโมย ไปตามถนนชองป์เอลิเซ่ (Champs Elysees) ที่มีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ไปมาหลายเชื้อชาติ ร่างบางหอบแฮ่กๆ และรู้สึกเข่าอ่อนทันทีที่รู้ว่าหมดหนทางที่จะตามไอ้หัวขโมยคนนั้นได้ หญิงสาวได้แต่นั่งมองเหม่อดูถนนเขตที่ 8 ของกรุงปารีส ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นถนนสายที่สวยที่สุดในโลกด้วยหัวใจที่อ่อนล้า
ดวงตาคู่สวยเหม่อมองไปยังต้นเชสต์นัท ที่เขาปลูกอยู่สองข้างทางของถนนด้วยสายตาที่ว่างเปล่าระคนห่อเหี่ยวใจ ไร้อารมณ์ที่จะมาชื่นชมความงามของต้นไม้สีเขียวขจีนี้ได้ เพราะตอนนี้เธอไม่เหลือเงินติดตัวแม้แต่เซ็นต์เดียว
ที่นี่ไม่มีใครสักคนที่เธอรู้จัก จะร้องขอให้ใครช่วยก็ไม่ได้ มือเล็กจึงถอดหมวกออก แล้วสวมบทเป็นคนขอทานอยู่ข้างถนน โชคดีที่สภาพของเธอตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากพวกขอทานเท่าไหร่นัก เพราะก่อนออกจากที่พัก เธอมักจะเอาเครื่องสำอางสีเข้มมาป้ายหน้า ป้ายคอ เพื่อปกปิดผิวพรรณและรูปหน้าที่แท้จริงของเธอเสมอ เพราะก่อนที่จะมาปารีส ก่อนที่แม่ของเธอจะสิ้นใจ ได้บอกกับเธอไว้ว่า
“ถ้าไปถึงปารีส อย่าแต่งตัวให้เป็นที่สนใจคนมากนัก แต่งหน้าให้ขี้เหร่เข้าไว้ จะได้ปลอดภัยจากพวกหื่นกาม” เพราะในสายตาของคนเป็นแม่มักจะคิดว่าลูกสาวของตนเองสวยและน่ารักมากเสมอ และอลิชชา ก็ทำตามที่แม่ของเธอบอกไว้ทุกอย่าง
สาวน้อยใส่วิกผมเป็นลอนหยิกหยอย ดูไม่ค่อยสะอาดมากนัก สวมแว่นตาธรรมดาที่ล้าสมัยอันใหญ่ราวกับคนสายตาสั้น ดูแล้วไม่ต่างกับนางแก้วหน้าม้าในวรรณคดีของไทยสักเท่าไหร่ ใครที่มองเธอผ่านไปผ่านมาก็มักจะมองด้วยสายตาว่างเปล่าจนถึงขั้นรังเกียจ แต่มันก็ทำให้เธอปลอดภัยจากพวกผู้ชายจริงๆ เพราะไม่เห็นมีสายตาของผู้ชายคนไหนมองเธอด้วยสายตาเสน่หาเลยสักคน
ตอนนี้เธอรู้สึกหิวข้าวจนไส้จะกิ่วอยู่แล้ว พอก้มมองดูหมวกไหมพรมที่วางบนพื้นก็มีเหรียญยูโรอยู่ 3 เหรียญ รวมกันได้สี่ยูโรเพราะอีกเหรียญหนึ่งเป็นเหรียญ 2 ยูโร หลังจากที่นั่งขอทานมานับชั่วโมง อยากจะร้องเพลงโชว์ความสามารถแลกเงินบ้างเหมือนกัน แต่มันติดปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเธอร้องเพลงไม่ค่อยเก่งนี่แหละ ก็เลยนั่งขอทานเฉยๆ อย่างหน้าด้านหน้าทน
แต่เงินแค่สี่ยูโรที่ได้มา จะซื้อก๋วยเตี๋ยวสักชามก็ยังไม่ได้เลย สงสัยกับข้าวมื้อนี้คงหนีไม่พ้นแซนวิชแน่นอน สาวน้อยหน้าตาแสนขี้เหร่เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อ ได้ขนมปังแซนวิชมาห่อหนึ่ง พร้อมกับน้ำเปล่าอีกหนึ่งขวด
แต่พอเดินออกมาที่ริมฟุตบาทก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเดินเข้ามาหา และพูดภาษาไทยชัดแจ๋ว
“คุณน้า คุณน้าเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ” เด็กหญิงหน้าตามอมแมมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ไม่มั่นใจนัก
“ใช่จ้าฉันเป็นคนไทยครึ่งหนึ่ง ฝรั่งเศสครึ่งหนึ่ง หนูมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
“หนูหิวข้าว หนูกับแม่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว หนูขอแซนวิชของน้าได้มั้ยคะ หนูจะเอาไปแบ่งกับแม่กินกันคนละครึ่ง นะน้านะ หนูขอนะ”
เด็กน้อยตาดำๆ มาพูดจาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารแบบนี้ แล้วเธอจะยังใจแข็งอยู่ได้ยังไง หญิงสาวจึงยื่นขนมปังแซนวิชห่อนั้นให้กับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผอมกะหร่องคนนั้นไป ทั้งๆ ที่ตนเองก็หิวมากจนตาลายแล้ว
อลิชชามองตามหลังเด็กน้อยไป ถึงแม้ท้องจะหิว แต่เธอก็รู้สึกอิ่มใจ ที่ได้มอบขนมปังแซนวิชห่อนั้นให้เด็กหญิงตัวเล็กๆ นั่น แล้วใบหน้าเรียวก็ก้มมองขวดน้ำเปล่าในมือ
“กินน้ำนี่รองท้องไปก่อนก็ยังดี” แต่แค่น้ำมันไม่ทำให้เธออิ่มท้องได้หรอก และตอนนี้ก็ใกล้จะเที่ยงแล้วด้วย หญิงสาวอุตส่าห์เดินไปตามร้านอาหารต่างๆ เพื่อขอสมัครงานกับเขา แต่กลับได้รับการปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
ร่างบางในชุดเสื้อโค้ทหนังสัตว์มือสองที่สวมร้องเท้าบูทเบอร์เบอร์รี่เก่าๆ เดินหาสมัครงานไปเรื่อยๆ จนถึงดิสนี่ย์ช็อป หล่อนก็เริ่มตาลายมากขึ้น จึงเดินไปเกาะต้นเชสต์นัท ตรงริมฟุตบาทเพื่อเป็นหลักยึดไม่ให้ร่างของตนเองล้มพับลงไปกองกับพื้น
“พ่อจ๋า หนูไม่มีเงินเหลือติดตัวเลยสักบาท แล้วหนูจะไปตามหาพ่อต่อได้ยังไง” ฉับพลันสายตาของอลิชชาก็เริ่มพร่าลายเห็นทุกอย่างเป็นสีขาวโพลนไปหมด แล้วสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลง ร่างเพรียวบางก็เลยเสียหลักเซถลาลงไปบนถนนที่กำลังมีรถแอสตัน มาร์ติน สีบรอนซ์คันหรูกำลังวิ่งมาพอดี
เอี๊ยด!
เสียงแตะเบรกดังลั่นไปทั่วท้องถนน โชคดีที่ตอนนั้นรถค่อนข้างติด รถคันหรูที่พุ่งมาชนเข้ากับร่างบอบบางของอลิชชาจึงไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ก็ทำให้สาวน้อยถึงกับกระเด็นลงไปกองกับพื้นถนน และหมดสติไป