“สัสเอ๊ย เป็นเหี้ยไรกันมากปะวะ ก็แค่แดกข้าวอ่ะ ทำไมพวกมึงจะต้องทะเลาะกันด้วย อยากไปแดกที่ไหนก็เชิญพวกมึงไปเลย กูไม่แดกละ!!!!”
...
..
.
ประโยคด้านบนเป็นประโยคสมมติ...
...โอเค สถานการณ์นี้ คนอย่างผมจะทำอะไรได้นอกจากยืนกุมขมับและถอนหายใจแล้วหายใจอีก แม้ใจจริงอยากจะพูดอย่างที่คิดมากเพียงไร ผมก็ต้องอดทนไว้ เพราะถ้าไอ้ปืนไม่ทน ไอ้ยิมไม่ทน และผมก็ยังไม่ทน กลุ่มผมจะต้องแตกและแหลกเป็นเม็ดทราย
“เอางี้ ในเมื่อไอ้ปืนอยากแดกร้านข้างนอกที่มีสารอาหารที่ดีต่อสมองของมัน ส่วนไอ้ยิมก็ขี้คร้านจะเดินไปเลยจะแดก ณ โรงอาหาร อย่างนั้นกูจะกดแอพลิเคชั่นเรียกไลน์แมนให้ไปซื้ออาหารร้านที่ไอ้ปืนอยากกินมาส่งในโรงอาหารที่ไอ้ยิมอยากนั่ง โอเคมั้ย…. โอเคนะ จบ ใครเถียงกูอีก ไม่ต้องแดก”
ผมแก้ปัญหาแบบวินวินกันทั้งสองฝ่ายและไม่เปิดโอกาสให้ใครเถียงกันอีก และสำหรับที่ใครไม่รู้ว่าไลน์แมนคืออะไร ไลน์แมนคือบริการที่รับฝากซื้ออาหาร ของสะดวกซื้อบลาๆ ด้วยการกดแค่คลิกสองคลิกในมือถือ ชีวิตคุณจะง่ายขึ้นอีกมาก นี่ไม่ใช่คนโฆษณาแต่ว่าเป็นผู้ใช้จริง
“เหยดดดด มึงแม่งโคตรฉลาดเลยว่ะยีนส์” ไอ้ปืนเบิกตาโตพร้อมปรบมือแปะๆ ผมไหวไหล่เล็กน้อย
“กูไม่ได้ฉลาดหรอก แต่มึงโง่ 55555555+” ผมหัวเราะเป็นวรรคเป็นเวรก่อนที่ไอ้ปืนจะทำท่าเงื้อมือจะฟาดหัวผมอย่างหมั่นไส้ หากแต่องครักษ์ฝั่งซ้ายของผมอย่างไอ้ยิมก็คว้ามือไอ้ปืนไว้ก่อน
“มึงจะตีหัวใครวะปืน จะทำเพื่อนกูเหรอ เดี๋ยวโดน”
“แหม ปกป้องกันขนาดนี้ ไปแต่งงานกันเลยป้ะ กูจะจัดขันหมากให้” ไอ้ปืนว่าก่อนที่ไอ้ยิมจะไหวไหล่แล้วชายสายตาลงมาทางผม
“ถามไอ้ยีนส์ดิ กูไงก็ได้”
“ถามอะไรกูวะ” ผมงงว่าแม่งพูดเรื่องเหี้ยไรกัน ฟังดูไม่เห็นแก่นสารของเรื่อง ผมเลยเปลี่ยนประเด็น “หาที่นั่งเหอะ จะได้กดสั่งอาหารกันไง จะได้กินให้จบๆ แล้วไปเรียน”
ผมเดินไปหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ตอนแรกจะพากันไปที่โรงอาหารแต่เปลี่ยนใจนั่งรอที่ซุ้มคณะแทน ไอ้ปืน ไอ้ยิมและผมเลือกอาหารที่เราอยากกินก่อนจะนั่งรอได้ครู่ใหญ่ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาจอดก่อนคนขับจะกระโดดลงมาจากรถและชะเง้อชะแง้ ผมก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นคนส่งอาหารของพวกผม
“พี่ ใช่ไลน์แมนปะ?” ผมเดินลงไปรับคนมาใหม่ที่อยู่ในชุดและหมวกกันน็อกสีเขียว คนตัวสูงราวๆ ผมเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเปิดหมวกกันน็อกนั่นออกมาเผยใบหน้าขาวเนียนที่แสนจะคุ้นตา
“ไอ้ยีนส์?”
นอกจากหน้าจะคุ้น เสียงยังคุ้น บุคลิกก็คล้าย ริมฝีปากมันก็ใช่ หรือว่า...
“ไอ้เหี้ยหยก…?”
ผมย่นคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ เผลอผงะถอยหลังไปเล็กน้อย ไม่คิดไม่ฝันว่าวันนึงจะโคจรกลับมาเจอมัน
สำหรับคนตรงหน้า มันคือไอ้เหี้ยหยก ผมไม่เคยเรียกหยกเฉยๆ ถ้าเรียกชื่อมันจะต้องมีคำสร้อยว่าไอ้เหี้ยหยกอยู่ทุกครั้งให้สมกับความประสาทของมัน ความสัมพันธ์ของพวกเราคือเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยม
เป็นศัตรูที่เกือบต่อยกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หรืออาจจะเป็นแม้กระทั่งแฟนเก่า.... ที่เราไม่ควรจะเจอกัน
แหม สงสัยช่วงนี้ผมจะดวงตกซะละมั้ง ถึงได้วนมาเจอหน้ามันได้ทั้งที่ไม่เจอมาตั้งเป็นชาติ! ทฤษฎีโลกกลมใช้ได้ผลดีเสมอโดยเฉพาะกับคนที่ไม่อยากเจอเนี่ย!!
“แหม ทำไมเรียกกูอย่างนั้นละยีนส์ เรียกกูไม่สมกับความสนิทที่เราเคยมีเลยนะ” ไอ้เหี้ยหยกว่าพลางขยิบตาที่ทำให้ผมขนลุก แหมะ ถามกูก่อนว่าตอนนี้อยากสนิทด้วยมั้ยเนี่ย... ว่ากันว่าคนเราจะเคยมีชีวิตที่ผิดพลาดมาบ้างอย่างน้อยครั้งนึง และความผิดพลาดของผมก็คือมันเนี่ยแหละ “ละสั่งมากินกับใครเยอะแยะขนาดนี้ เพื่อนเหรอ เพื่อนอยู่ไหน กูจะได้ไปแนะนำตัวให้เขาเห็นหน้าค่าตา”
“ไม่ต้องหรอก มึงไปทำงานของมึงเหอะ” ผมยกมือเบรก ไม่คิดจะต้อนรับให้ไอ้หยกเข้ามาป่วนพวกเรา มันไม่ยอมแพ้และถอดเสื้อคลุมสีเขียวกับหมวกกันน็อกนั่นออก พลางหยิบอาหารออกมา
“แหม ไม่ต้องเขินหรอก กูรู้ว่ามึงอยากให้กูนั่งแดกด้วย”
เหรอวะ กูไม่รู้ด้วยเลยว่าอยากทำอย่างนั้น -*-
“อะไรวะยีนส์” ไอ้ปืนย่นคิ้วแล้วทำท่าจะเดินมาทางพวกผม ก่อนที่ไอ้หยกจะโค้งตัวเว่อร์วังต้อนรับไอ้ปืนพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกไปถึงหู
“สวัสดี เราเพื่อนสนิทยีนส์สมัยมัธยม ชื่อหยก” มันแนะนำตัวพร้อมแต่งตั้งตัวเองเป็นเพื่อนสนิทของผม ทั้งที่ผมไม่ได้อยากจะสนิทด้วย ผมถอนหายใจเพราะจากการที่รู้จักไอ้เหี้ยหยกมานาน ผมก็พอจะรู้ว่าต่อให้เอาข้าวสารเสกมาไล่มันก็ไม่ไป มันเฮี้ยนยิ่งกว่าผีนางนากซะอีก
“เพื่อนไอ้ยีนส์เหรอ... เออ มึงไม่ต้องพูดเพราะมากก็ได้ กูชื่อปืน”
“แหมๆ ชื่อฟังดูเพราะ”
“แน่นอน” ไอ้ปืนยิ้มก่อนจะตีหน้าอกตัวเองด้วยท่าทีพราวเล็กน้อยและชะงักในวินาทีต่อมา
“เพราะอะไรแม่ถึงตั้ง”
นั่นงะ ผมว่าแล้ว คนผีๆ อย่างไอ้เหี้ยหยก เหี้ยจริงไม่อิงตลกด้วย
“พูดดีนะเราอ่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว มานั่งกินด้วยกันก่อนเปล่า” ไอ้ปืนหัวเราะตาหยีแล้วโบกมือเรียกไอ้หยกเข้าไปหาก่อนจะโอบไหล่คนตัวเล็กกว่า
“ข้าวอะเหรอ”
“ตีนกูเนี่ย สัสสส”
“โอ๊ย พวกมึงเล่นเหี้ยไรกันวะ รีบๆ มานั่ง มาแดกเหอะ ด่ากันอยู่นั่น” ไอ้ยิมส่ายหัวละเหี่ยใจในความกวนตีนของไอ้ปืนและไอ้เหี้ยหยก
สุดท้าย ความหน้าด้านหน้าทนของไอ้เหี้ยหยกก็ทำให้มันเสล่อมานั่งกับพวกผมอย่างไม่สนอันใด ทั้งยังบังอาจหย่อนก้นลงมานั่งเบียดผมอีกด้วย
“แล้วพ่อหนุ่มขี้ดุคนนี้ชื่ออะไรเนี่ย จะไม่แนะนำตัวกันหน่อยเหรอ กูชื่อหยกนะ”
“กูยิม... ยินดีที่ได้รู้จัก มึงเป็นเพื่อนยีนส์เหรอ?” ไอ้ยิมตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ สไตล์มัน พยายามจะฉีกยิ้มให้เป็นมิตรแต่ดูเป็นรอยยิ้มแหยๆ ซะมากกว่า ในขณะที่ไอ้ปืนกำลังพยายามจะแจกจานพลาสติกให้พวกเราทุกคน
“อันที่จริง ความสัมพันธ์ระหว่างกูกับยีนส์ก็ค่อนข้างที่จะเป็นเรื่องอธิบายยาก”
“ดังนั้นไม่ต้องอธิบายจะดีกว่า... นะ” ผมสรุปรวบรัดตัดบทมันเอาดื้อๆ ก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไก่ยัดปากมันหนึ่งชิ้นด้วยความหงุดหงิด “เรามีเวลานั่งกินไม่นาน ฉะนั้นรีบๆ กินแล้วขึ้นไปเรียนเถอะ”
อันที่จริง ผมก็ไม่ได้มีกะจิตกะใจใฝ่เรียนรู้ขนาดนั้นหรอก ผมแค่รำคาญไอ้เหี้ยหยกที่ตั้งแต่มาก็พล่ามไร้สาระไม่เลิก น่าจะจับไปอยู่กับไอ้ปืนสักอาทิตย์ มันจะได้ผลัดกันพล่ามซะให้พอ!
ไอ้เหี้ยหยกรีบเคี้ยวแล้วหันมาตอบโต้ผมด้วยใบหน้าไม่พอใจนัก
“ไรวะ มึงจะไม่อยู่คุยกับกูก่อนเหรอ คำว่าเพื่อนสำหรับมึงมันไม่สำคัญแล้วใช่มั้ย เรื่องในอดีตเรามันเก่าเกินไปแล้วใช่หรือไม่”
“เหี้ยไรของมึงวะหยก เพ้อเจ้อสัส”
เอามันไปเก็บที ไอ้บ้านี่ประสาทขึ้นทุกวัน
“กูก็แค่เสียใจอ่ะที่มึงไม่นึกถึงความรักที่เราเคยมีให้กัน แม้มันจะเป็นอดีต มันก็เป็นอดีตที่สวยงาม”