อัณชญาเป็นเด็กดี
“จะรีบไปไหน” เสียงห้าวทุ้มถามขึ้น เมื่อเห็นลูกน้องคนสนิทกำลังเดินลงมาจากอาคารสำนักงานภายในบริเวณไร่ ที่มีโรงงานผลิตไวน์รวมอยู่ด้วย ส่งออกทั้งในและต่างประเทศ
“จะไปโรงเรียนนังอัณ”
“ไปทำไม นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนไม่ใช่เหรอ” มันเพิ่งจะบ่ายโมง จริงๆ แล้วเด็กคนนั้นไปโรงเรียนเองได้ แต่ต้องเดินไปขึ้นสองแถวที่อยู่ห่างจากตัวบ้านค่อนข้างไกล เขาเลยให้พล หรือคนขับรถไปรับส่งอีกฝ่าย
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อย” พลตอบด้วยสีหน้าลำบากใจ
“มีเรื่องอะไร”
“นังอัณทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียนครับ”
“เรื่องแค่นี้ทำไมต้องเรียกผู้ปกครอง เด็กทำผิดครูก็สั่งสอนหรือลงโทษไปสิ”
“เพื่อนหัวแตก เข้าโรง’ บาลครับ ผู้ปกครองเด็กจะแจ้งความ”
“เอ้า เวร! ทำไมต้องทำรุนแรงขนาดนั้น”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ปกติอัณเป็นเด็กดี เรียบร้อย ไม่เคยหาเรื่องใครก่อนนะครับนาย” พลกลัวว่าผู้เป็นนายจะคิดว่าหลานสาวเป็นเด็กเกเร และอาจไม่อยากให้อยู่ด้วยแล้ว
“หลานมึงเป็นเด็กดีว่างั้นเหอะ”
“ก็ที่ผ่านมาอัณก็ไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครมาก่อนนะครับ คิดว่าเด็กคนนั้นต้องมาหาเรื่องอัณก่อนแน่นอน”
“งั้นรีบไปดูหลานคนดีของมึงเหอะ!” ชินภพพูดประชดก่อนโบกมือไล่ ก่อนเขาจะเดินเข้าไปในห้องทำงาน
พลเกาหัวแกรกๆ เพราะกลัวว่านายจะเบื่อหลานสาวเสียก่อน วันก่อนก็เพิ่งก่อเรื่อง วันนี้มีอีกเรื่องให้ปวดหัวอีก
พลบึ่งรถมาที่โรงเรียนไม่กี่นาทีก็ถึง เขาไปห้องผู้ปกครองทันที เห็นอัณชญานั่งหน้ามุ่ยอยู่หน้าห้องฝ่ายปกครอง
“น้าพล ไอ้ฟีล มันล้อหนูก่อน” อัณชญารีบถลาเข้ามาบอกน้าชาย ก่อนที่จะถูกครูฝ่ายปกครองฟ้องก่อน
“ล้ออะไร”
“มันล้อว่าหนูเป็นอีหนูของนาย”
“แค่นี้ มึงก็ฟาดมันหัวแตกเลยเหรอ”
“หนูเปล่าฟาด หนูแค่ผลักมันล้ม แต่หัวมันกระแทกก้อนหินเอง หนูไม่ได้ตั้งใจให้มันหัวแตก หนูผลักเพราะมันมาตะโกนข้างๆ หู หนูรำคาญ”
“เฮ้อ เวรแท้ๆ ทำอะไรไม่คิด
“มันซุ่มซ่ามเอง หนูก็ไม่ได้ผลักแรงเสียหน่อย”
“แล้วไง ครูบอกว่าพ่อแม่ไอ้ฟีลจะแจ้งความ ข้อหาทำร้ายร่างกาย”
“ฮือๆ หนูจะติดคุกไหม” อัณชญาปล่อยโฮทันที
“ไม่รู้สิ เดี๋ยวน้าไปคุยกับครูก่อน” เมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ พลก็เสียงอ่อน และไม่กล้าดุอะไรต่อ
พลเข้าไปที่ห้องครูฝ่ายปกครอง ส่วนอัณชญาก็นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้อง นั่งรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมง พลก็ออกมาด้วยสีหน้าเครียดๆ
“น้าพล ครูว่ายังไง”
“ก็ไม่ว่าไง แค่บอกให้กูสั่งสอนมึงดีๆ และบอกย้ำว่าพ่อแม่ไอ้ฟีลจะแจ้งความทำร้ายร่างกาย ครูเขาก็พยายามไกล่เกลี่ยอยู่ เขาแนะนำให้มึงยกกระเช้าไปขอโทษมันกับพ่อแม่มัน แต่ก็นั่นแหละ ขอโทษแล้วเขาจะไม่เอาเรื่องไหม ก็คงต้องลุ้นกัน”
“มันก็ควรขอโทษหนูด้วย อยู่ดีๆ มาล้อทำไม”
“เออ ใจคอมึงจะให้มันขอโทษมึงก่อนเหรอ ตอนนี้น่ะเลิกคิดได้แล้ว คิดว่าพ่อแม่มันจะแจ้งความมึงเปล่า ดีกว่าไหม”
พลเครียดๆ เลยตวาดให้ จากนั้นเขาก็พาอัณชญากลับบ้านไปก่อน ระหว่างเดินไปที่รถ เด็กนักเรียนคนอื่นก็มามุงและซุบซิบว่าหลานสาวเป็น
อีหนูเจ้านายของเขา
ใครมันปล่อยข่าวเรื่องพ่อของอัณชญาเอาลูกสาวไปขายให้นายเขา
“ไอ้ฟีลมันปล่อยข่าวเรื่องหนูด้วย” อัณชญาฟ้องรัวๆ
“มันรู้ได้ไง”
“พ่อมันทำงานที่บ่อนไอ้เสี่ยโต และพ่อมันได้ยินเสี่ยโตคุยกับลูกน้องอีกคน”
“ไอ้เสี่ยโตมันคงเสียดายมึงมากสินะ ถึงต้องคุยเรื่องนี้กับลูกน้อง แล้วพ่อมึงได้เงินก็หายหัวไปเลย เงินหมดนั่นแหละถึงโผล่หน้ามาให้เห็น” พลพูดแบบปลงๆ คิดแล้วก็เวทนาหลานสาว
เพราะหลังเงินหมด พ่อของอัณชญาคงมารบกวนลูกสาว เพราะตำแหน่งนางบำเรอนายก็มีเงินเดือนอยู่มากโข แม้อัณชญาจะยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองก็เถอะ แต่เชื่อว่าหากโตกว่านี้ ก็คงได้ทำ เว้นแต่นายจะเฉดหัวมันออกจากบ้านเสียก่อน เพราะเบื่อที่มันก่อเรื่อง หรือไม่ก็รำคาญอาทิตย์ ที่วันหนึ่งคงหวนกลับมารบกวนลูกสาว
หลังจากส่งอัณชญาแล้ว พลก็กลับไปยังไร่
“เป็นไงบ้างล่ะ” ชินภพถาม เมื่อเห็นสีหน้าเครียดๆ ของอีกฝ่าย
พลก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เจ้านายฟัง รวมทั้งเรื่องที่พ่อแม่ไอ้เด็กฟีลจะแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย
“บ้าเหรอ แค่เด็กทะเลาะกัน จะแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายเลยหรือไง อย่างมากก็แค่ทะเลาะวิวาท แต่ก็ไม่น่าแจ้งความ เพราะไอ้เด็กนั่นหาเรื่องก่อน”
“แล้วจะทำไงครับนาย”
“พรุ่งนี้มึงก็ส่งดอกไม้พร้อมเช็คไปให้มัน ไม่ต้องพาหลานมึงไปให้เสียเวลาหรอก เดี๋ยวหลานคนดีของมึงก็ทุ่มกระเช้าใส่มันจะทำไง”
“โถ นาย อัณมันไม่ได้ร้ายขนาดนั้นหรอก” พลพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของหลานสาว
“เหรอ...”
เมื่อนายพูดแบบนั้น พลก็เริ่มไม่แน่ใจว่าหลานสาวจะก่อเรื่องอะไรอีก ดูเหมือนช่วงนี้ดวงมันคงกำลังตก มีแต่สิ่งที่ทำให้นายไม่พอใจในตัวมัน
แต่วันรุ่งขึ้นพลก็ทำตามคำสั่งนาย นำกระเช้าดอกไม้พร้อมเช็คเงินสด ที่พอพ่อแม่ของฟีลเห็นก็ตาโต รีบยกโทษให้อัณชญาทันที
“ไม่เป็นไรหรอก เด็กๆ ทะเลาะกัน มีกระทบกระทั่งบ้างเป็นเรื่องธรรมดา”
พลหัวเราะขำๆ ขี้เกียจฟังคำพูดไม่จริงใจ เลยรีบขอตัวกลับ แต่ก่อนกลับก็เอ่ยบอก
“ทีหลังอย่าไปล้อนังอัณอีกนะไอ้ฟีล เพราะมึงอาจโดนมากกว่าหัวแตก แต่ไม่ใช่ฝีมือนังอัณ อาจเป็นคนอื่นก็ได้” แล้วพลก็ขยิบตาให้ ยกนิ้วชี้เชือดคอตัวเอง พร้อมทำหน้าหลอนๆ
พอเห็นสีหน้าซีดๆ ของคนป่วย เขาก็เหยียดยิ้มให้ แล้วเดินตัวปลิวออกไปจากห้องพักฟื้น
เมื่อกลับถึงบ้านไปบอกเรื่องทั้งหมดกับอัณชญา อีกฝ่ายอยากขอบคุณผู้เป็นนาย แต่พลก็ห้ามไว้
“นายสั่งไม่ให้เอาหน้าไปให้เห็นไม่ใช่เหรอ มึงก็ทำตามเถอะ อย่าหาเรื่องใส่ตัวอีก กูเหนื่อยแล้วนะ”
“หนูแค่อยากขอบคุณ”
“เออ เข้าใจ แต่มึงอยู่เฉยๆ เถอะ และอย่าไปก่อเรื่องไรอีก แค่นี้นายก็คงพอใจแล้ว”
“เขาเกลียดหนูขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ถ้าเกลียด เขาคงไล่มึงออกจากที่นี่แล้ว เอาง่ายๆ เลยนะ มึงตั้งใจเรียนหนังสือ สนใจแต่เรื่องของตัวเองพอ เรื่องนายไม่ต้องสนใจหรอก”
“พี่นุ่มก็ไม่ยอมให้หนูไปทำงานบ้านที่ตึกใหญ่เลย ให้แค่รดน้ำต้นไม้โน่นเลย ไกลจากตึกใหญ่”
“ก็ดีแล้ว มึงจะอยากเสนอหน้าไปให้นายเห็นอีกหรือไง เดี๋ยวนุ่มก็เดือดร้อนอีกหรอก ดีนะนายยกโทษให้ หักเงินเดือนแค่เดือนเดียว”
“ที่เหลือหนูจะใช้คืนพี่นุ่มเอง”
“ก็ดีเหมือนกัน มันเดือดร้อนเพราะมึงอยากแซบแท้ๆ”
“ก็คิดว่านายจะชอบนี่” เด็กสาวพูดทำหน้าง้อใส่พล
“ไม่ว่ามึงจะแซบหรือไม่แซบ เขาก็ไม่เอามึงทำเมียตอนนี้หรอก”
“หนูไม่สวยเหรอ”
“มึงเป็นเด็ก นายไม่ชอบเด็ก!” พูดจบ พลก็เบื่อจะคุยกับหลานสาว เลยเดินลงบันไดกลับตึกใหญ่ไปเลย ปล่อยอัณชญาพึมพำอยู่คนเดียว
“คนเรามันก็ต้องโตสักวันไหมล่ะ!”
หลังจากเหตุการณ์ไอ้ฟีลหัวแตก สถานการณ์ที่โรงเรียนก็เป็นปกติ แต่เพื่อนที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็เหลือน้อยลงกว่าเดิม แทบไม่มีใครอยากคุยกับอัณชญา ยกเว้นแตงกวา เพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยประถม แต่อัณชญาถือคติ เพื่อนดี มีแค่คนเดียวก็ถือว่าคุ้ม
“กวา เลิกเรียนเราไปกินติมกันเถอะ กูเลี้ยง” อัณชญาเอ่ยขึ้นขณะทั้งสองกินข้าวเที่ยงด้วยกันในโรงอาหาร
“ไปสิ ของฟรี กูเต็มที่อยู่แล้ว”
“จากนั้นเราไปเดินเล่นที่ตลาดนัด ไม่มีเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่เลย ไปด้วยกันนะ”
“ไปสิ”
“เดี๋ยวกูซื้อชุดให้มึงชุดหนึ่งนะ”
“โหรวย”
“ไม่รวยหรอก แต่ก็พอมีซื้อให้มึงได้”
“จะว่าไปเป็นอีหนูคุณภพก็ดีนะมึง กูอยากเป็นมั้ง มึงไปถามเขาให้หน่อย ว่ารับกูด้วยคนไหม”
“นายไม่ชอบเด็ก ขนาดกูเขายังไม่เอาเลย ที่ซื้อไว้ เพราะเขาสงสาร กลัวพ่อกูขายให้ไอ้เสี่ยโต” อัณชญาบอกเพื่อนไปตรงๆ
“ตกลงมึงกับเขายังไม่ได้กันเหรอวะ”
“เออ นายไม่ชอบเด็กไง”
“ว้า แปลกคน ใครๆ ก็ชอบเด็กทั้งนั้น ยิ่งแก่ๆ คราวพ่อแบบนี้น่าจะชอบเด็กนะมึง”
“ก็เขาไม่เหมือนคนแก่คนอื่นๆ ไง”
“แต่ตัวจริงคุณภพก็ดูอ่อนกว่าวัยมากนะ เหมือนคนอายุสามสิบต้นๆ มากกว่าสี่สิบสอง”
“นั่นสิ เขาแก่กว่าพ่อกูอีกนะ จะว่าไป” อัณชญาว่า เพราะพ่อของเธออายุสี่สิบ แต่หน้าก็แก่กว่าวัยตามประสาชาวบ้าน ที่ไม่ได้ดูแลตัวเอง
ส่วนชินภพนั้นเดิมทีเป็นคนกรุงเทพฯ เขาซื้อไร่องุ่นต่อจากครอบครัวอื่น และทำโรงงานผลิตไวน์เมื่อสิบกว่าปีก่อนนี่เอง
หลังเลิกเรียนเด็กสาวทั้งสองก็ไปกินไอศกรีมร้านโปรด จากนั้นก็เดินเล่นตลาดนัด ชอปปิงเพลิน กระทั่งค่ำก็แยกย้าย
อัณชญาโทร. ไปบอกพลตั้งแต่เลิกเรียนแล้วว่าจะกลับเอง ขณะกำลังจะเดินไปยังจุดที่รถสองแถวผ่าน รถยนต์คันหนึ่งก็ปาดมาจอดข้างๆ
“หนูอัณคนสวยนี่เอง จะไปไหน ให้เสี่ยไปส่งดีไหม” เสี่ยโตที่นั่งอยู่ข้างคนขับที่เป็นลูกน้อง ก็โผล่หน้าออกมาทักทาย พร้อมยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยขณะกวาดมองไปทั่วร่างที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย
“กลับเองได้!” เธอบอกเสียงห้วน แล้วรีบเดินเพื่อไปถึงป้ายรถสองแถวให้เร็วที่สุด
แต่คนที่ชวนก็ไม่ยอมเลิกรา เปิดประตูรถออกมา ดึงแขนเธอไว้ อารามตกใจอัณชญาจึงสะบัดอย่างแรง ส่งผลให้ร่างท้วมของเสี่ยโตเซไปชนเข้ากับจักรยานที่ปั่นมาบนฟุตบาธพอดี
“โอ๊ย!” เสียงอุทานมาพร้อมกับอาการเจ็บปวด เพราะนอกจากโดนจักรยานชนจังๆ เจ้าของร่างยังล้มหน้าทิ่มลงกับพื้น จมูกและปากมีเลือดไหล
“อีเด็กเวร มึงทำกู!” เสี่ยโตหันมาตะเบ็งเสียงใส่ และลูกน้องก็ลงจากรถรีบมาพยุงร่างท้วมนั้นขึ้นมาจากพื้น
“หนูเปล่านะ จักรยานต่างหากที่ชนน่ะ!” อัณชญาหันไปทางคนขี่จักรยาน ที่เมื่อครู่ก็เสียหลักล้มทั้งรถ ทั้งคน ทว่าตอนนี้เจ้าตัวนั้นได้รีบปั่นจักรยานหนีไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยเธอเผชิญหน้าโมโหโกรธาของเสี่ยโตกับลูกน้อง
“ยังมาปากแข็งอีก ไอ้พงษ์ จับอีเด็กนี่ขึ้นรถ!”
“ครับนาย” หันไปโค้งรับคำสั่ง แต่พอหันไปทางเด็กสาว อีกฝ่ายก็โกยแน่บไปเสียแล้ว ลูกน้องเสี่ยโตก็วิ่งตามไปติดๆ แต่อัณชญาก็วิ่งไปแหกปากร้องไป
“ช่วยด้วย ไอ้หื่นมันจะข่มขืนหนู ช่วยด้วย!” ซึ่งทำให้พลเมืองดีหลายคน หันมาสกัดไอ้พงษ์ไว้ ไม่ให้วิ่งตามเด็กสาว แต่อัณชญาก็วิ่งไม่หยุด กระทั่งหันไปมองด้านหลัง เห็นว่าไอ้ลูกน้องเสี่ยโตไม่ได้ตามมา เธอจึงหยุดวิ่ง แต่ก็เกือบจะวิ่งหนีอีกครั้ง เมื่อรถของใครบางคนวิ่งมาจอดข้างๆ เสียงล้อบดกับพื้นถนนเสียงดังเหมือนโมโหใครมา
แถมยังเปิดประตูรถออกมาอีกด้วย ทำให้เธอเห็นร่างสูงสง่าของผู้ชายที่แสนหล่อ แต่ทำหน้ายักษ์อยู่ตรงหน้า กับแววตาที่เหมือนจะมีเชื้อไฟ เพราะตอนนี้ร่างเธอกำลังจะไหม้เพราะถูกเผาจากสายตาเขา
“จะมีสักวันไหมที่จะไม่ก่อเรื่อง!” เสียงตวาดนั้นทำให้อัณชญาสะดุ้ง
“หนูเปล่า ไอ้เสี่ยโตมันมาจับมือหนูก่อน หนูตกใจก็สะบัดออก แล้วรถจักรยานชนมันเอง แล้วมันก็โมโหให้ลูกน้องจับตัวหนู” เด็กสาวอธิบายเสียงรัวเร็ว เพราะกลัวเขาเข้าใจผิดว่าเธอก่อเรื่องก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่เสียหน่อย
“มืดค่ำไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่อง!”
“ก็หนูแค่มาซื้อของ” เธอบอกเสียงอ่อย
“ต่อไปนี้ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว ขึ้นรถ!”
อัณชญารีบทำตามที่เขาสั่ง แต่ดันไปนั่งด้านหลัง เพราะคิดว่าเขาคงไม่อยากให้เธอนั่งใกล้ๆ ข้างคนขับแน่นอน
ทำไมน้าพลไม่มากับเขานะ เธอสงสัย
“มานั่งข้างหน้า เห็นฉันเป็นคนขับรถเธอหรือไง!”
“ค่ะ” สุดท้ายก็มานั่งตัวลีบข้างคนขับ
อัณชญาเหลือบมองคนข้างๆ เห็นแค่สันกรามบดกันจนได้ยินเสียงกรอดๆ ก็รู้สึกหวาดหวั่นแล้ว ไม่คิดจริงๆ ว่าจะเจอกันในสภาพแบบนี้ ทั้งที่อยู่บ้าน เธอก็ไม่เคยเสนอหน้าไปให้เขาเห็น ตั้งแต่วันที่เขาตะเพิดไล่ออกจากห้องหนังสือ
ต่อไปนี้นอกจากจะไม่ต้องเสนอหน้าไปให้เขาเห็น ต้องอย่าออกไปไหนคนเดียวเพิ่มอีกกระทง
หวังว่าคงไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากกว่านี้นะ
::::::::::::::::