ชายหนุ่มคำรามฮึ่มออกมาคราหนึ่ง ทั้งโมโหตัวเองและยังนึกตำหนิสตรีโฉมงามอยู่ในใจ
“หากเกียจคร้านนัก จงทำตัวเยี่ยงหมูต่อไปเถิด สตรีแซ่ซู!”
ได้ยินน้ำเสียงประชดประชันทุ้มๆ ของชายหนุ่ม นางก็อยากกรี๊ดให้ลั่น แต่ยามนี้ดูเหมือนรอบกายผิดแผกจากที่เคยรู้เห็น และบุรุษร่างกายสูงใหญ่ยังแผ่รัศมีความโหดร้ายออกมาจนนางมิกล้าเคลื่อนไหวร่างกาย เขาคงเป็นจอมมารในคราบของเทพเซียนผู้หล่อเหลา
“กุ้ยฟางจะระวังไม่ทำให้ท่านขุ่นเคืองใจ” นางเปล่งเสียงกล้าๆ กลัวๆ ออกไป อีกทั้งยังจับต้นชนปลายสิ่งใดไม่ได้ ทว่าในหัวก็ไม่ได้ถึงกับว่างเปล่าเสียทีเดียว
“ฮึ ยามนี้เจ้าหาใช่สตรีสูงศักดิ์ เมื่อบิดาส่งมอบให้แก่บ้านอื่น เจ้าย่อมเป็นสมบัติของชายที่ได้ครอบครอง”
ซูกุ้ยฟางน้ำตาตกใน เหตุใดหยางอี้คังถึงอำมหิตเพียงนี้
“เข้าใจที่ข้ากล่าวหรือไม่”
หญิงงามพยักหน้ารับน้อยๆ ยามนี้แม้แต่การสูดลมหายใจเข้าออกนางจำต้องพึงระวังให้มาก กลัวเขาบีบคอนางให้ตายก่อนที่จะได้อุ่นเตียงอย่างร้อนเร่าด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นไปตามเรื่องราวที่นางได้อ่านก่อนทะลุมิติมายังโลกโบราณ และต้องขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้นางสามารถสื่อสารภาษาในโลกนี้ได้ ซึ่งนอกจากพูดแล้วนางยังอ่านและเขียนได้ดีจนน่าประหลาดใจ
“สิ่งที่เจ้ากระทำ คิดหรือว่าข้าไม่แจ้งใจ สตรีตระกูลซูคิดแต่จะใช้ความงามล่อลวงผู้อื่น นี่คงโชคดีที่เป็นข้าที่หลงเข้าไปติดกับดักเจ้า หาใช่ชายหน้าโง่ผู้อื่นที่ซื้อเจ้ามาในราคาเท่าบ๊ะจ่างหนึ่งลูก! แถมยังต้องเปลืองแรงฆ่าคนไปอีกหลายสิบชีวิต กว่าจะหอบหิ้วมาถึงเรือน!”
หยางอี้คังบ่นต่ออีกยาวเหยียด นางอยากหาผ้าไปอุดปากเขาเสีย แต่พอคิดว่าตนตกอยู่ในกำมือเขาเช่นนี้ แถมยังมีหนังสือลงนามไว้เสร็จสรรพ ซูกุ้ยฟางคงต้องฝืนทนไปก่อน นางต้องรักษาชีวิตเอาไว้ ส่วนความบริสุทธิ์ ซูกุ้ยฟางคงมิอาจปกป้อง แต่ถึงอย่างนั้นร่างที่นางอาศัยอยู่ก็เป็นของผู้อื่น แถมเป็นหญิงงามที่ร้อยปีจะถือกำเนิดมาบนโลกมนุษย์
ดังนั้นนางจึงต้องใช้เรือนร่างอันทรงเสน่ห์มัดใจชายชาตรีผู้นี้ ด้วยข้อความที่นางจำได้ก่อนสิ้นลมหายใจคือ ‘สตรีนามว่าซูกุ้ยฟาง จะเป็นผู้ให้กำเนิดบุตรชายหัวปีท้ายปีแก่แม่ทัพหนุ่มผู้มีนัยน์ตาประดุจพญาอินทรี’
และตอนนี้ทุกอย่างกำลังเดินหน้าไปตามเรื่องราวที่ถูกเขียนไว้
ยามเช้าในวันเดียวกัน หยางอี้คังทั้งเพลียและหงุดหงิดใจ ชายหนุ่มเรียกหาสุราจากอาเปี่ยว ซึ่งเป็นทั้งคนสนิทและลูกพี่ลูกน้องของเขา
หยางอี้คังสอบถามอีกฝ่ายเสียงเครียดว่าเกิดเหตุผิดพลาดได้อย่างไร อันที่จริงสตรีที่เขาควรพบหน้าคือม่านลั่วลั่ว หญิงสาวที่เขากับนางมีสัญญาใจไว้ต่อกัน
หยางอี้คังขบกรามแน่น เขานัดม่านลั่วลั่วไว้ ณ สถานที่ดังกล่าวในเวลายามเหม่า (คือ 05.00 - 06.59 น.) หลังจากที่ฝ่ายหญิงตั้งใจออกมาเที่ยวเทศกาลสำคัญของเมือง นางกับเขามีข้อตกลงกันไว้เมื่อครั้งเยาว์วัย
แต่ที่ผ่านมาหยางอี้คังกรำศึกหนัก อีกทั้งได้รับรางวัลมากมายทั้งเงินทอง ชื่อเสียง รวมถึงสาวงามจากหัวเมืองต่างๆ ที่เขาออกไปช่วยศึกสงคราม กระทั่งเขาช่วยให้หญิงงามเหล่านั้นมีที่ทางของตนและได้พบชีวิตใหม่เพราะไม่ต้องการให้มีเรื่องเศร้าใดๆ เกิดขึ้นอ**บนสังเวียนรักของเขาอีก
กระนั้นยังมีสตรีหลายนางที่ต้องการหลับนอนกับเขา แต่หยางอี้คังประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า เขาต้องการเลือกสตรีเพียงหนึ่งเดียวมาเป็นหยางฮูหยินด้วยตนเอง และนั่นย่อมหมายถึง เขาอยากทำตามความปรารถนาที่เคยให้ไว้กับม่านลั่วลั่ว
หยางอี้คังใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงถ้อยคำที่เคยกล่าวกับหญิงในดวงใจเมื่อหนึ่งปีก่อน
“ข้ากับเจ้าควรเกี่ยวดองกันเสีย หลังจากที่เราทั้งคู่ต่างครองตัวเป็นโสดมาหลายปี”
ในขณะนั้นหยางอี้คังอายุได้ยี่สิบแปดปี ส่วนม่านลั่วลั่วอายุย่างยี่สิบแล้ว นับว่าสมควรแก่การครองคู่ พวกเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก จากการที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากบิดาของนาง เมื่อครั้งถูกจับกุมในข้อหาขโมยเมล็ดถั่ว แปะก๊วย และกุนเชียง เพื่อนำไปให้มารดาทำบ๊ะจ่างสำหรับให้บิดากินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะสิ้นใจ
“ยามนี้ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แต่ข้ามิอาจนิยมเป็นฮูหยินที่ต้องทนอยู่อย่างเดียวดาย หากสามีออกศึกในแดนไกล และถึงแม้ท่านต้องการมีฮูหยินเพียงคนเดียว แต่ภายภาคหน้าใครจะล่วงรู้ ในเมื่อตำแหน่งแม่ทัพอันทรงเกียรติจำเป็นต้องมีหลังบ้านคอยสนับสนุนเพื่อให้รากฐานมั่นคง และกฎ ‘สามภรรยาสี่อนุ’ ยังเป็นเรื่องที่ผู้ชายตระกูลหยางพึงปฏิบัติเรื่อยมา และไหนจะยังเมียบ่าวอีก เพียงแค่ได้ยินข้าก็หวั่นใจ”
ม่านลั่วลั่วมองชายหนุ่มรูปงาม นางรู้ดี เขามีชื่อเสียงเป็นที่โจษขานว่าดาบใหญ่และมักทำขาเตียงหัก แม้สองสามปีให้หลังเขาจะเลิกข้องเกี่ยวกับสตรีนางใด แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนกล่าวถึงเล่นๆ หากมันคือความจริงที่หญิงสาวทั่วหล้าเกือบร้อยชีวิตประจักษ์มาแล้ว
“แต่ข้ามิได้พึงใจต่อสตรีใด ถึงเชยชมอยู่บ้าง กระนั้นก็ไม่อาจตบแต่งเข้าสกุลหยาง ซึ่งมันต่างจากเจ้า ลั่วลั่ว”
“ยามนี้ท่านก็พูดได้ ผู้ชายมักปากหวานยามเกี้ยวสตรี เมื่อได้อุ่นเตียงแล้วย่อมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!”
“ลั่วลั่ว เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร” หยางอี้คังตัดพ้อ น้ำเสียงเขายังคงนิ่ง หากสีหน้าดูเศร้าลง เกือบสองปีแล้วที่เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีอื่น คือหลังเกิดเหตุร้ายมีหญิงสาวเสียชีวิตหลังเสร็จสมกับเขา และนั่นทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองใหม่ รวมถึงอยากสานสัมพันธ์กับม่านลั่วลั่วเสียที
หญิงสาวยิ้มจางๆ และตอบตามความรู้สึกจากใจ
“แม่ทัพหยาง ท่านกับข้ายังมีเวลาตัดสินใจอีกนาน อย่าเพิ่งเร่งรัดเลย อีกอย่างศึกทางเหนือ ท่านยังต้องไปช่วยองค์ชายเกาสะสางอยู่มิใช่หรือ เช่นนั้นอย่าเสียเวลาเอาเรื่องของข้ามาคิดให้หนักหัวจะดีกว่า สตรีผู้นี้หากพึงใจสิ่งใด ย่อมไม่ต้องพูดจาให้เสียเวลา” ม่านลั่วลั่วบอกใบ้ชายหนุ่ม และหวังให้เขาเข้าใจว่านางเอาใจออกหากจากเขาเนิ่นนาน ไม่ใช่เพราะสิ้นรัก แต่สำหรับนาง ยุทธภพกว้างใหญ่ยังมีหลายสถานที่ซึ่งอยากออกไปผจญภัย
หยางอี้คังถอนหายใจเสียงดัง ภาระดังกล่าวเขาไม่อาจเลี่ยง
“มันคือหน้าที่ชายชาติทหาร”
“ท่านพูดถูก สำหรับข้าก็เช่นกัน ถึงเป็นสตรีแต่ไม่ถนัดเย็บปักถักร้อย แม้แต่เรื่องอาหารยังไร้ฝีมือ เช่นนี้ยากจะเป็นหลังบ้านให้ท่าน รู้แล้วก็ลองตรองดูเถิดท่านพี่”
ม่านลั่วลั่วไม่ใช่หญิงสาวอ่อนหวาน นางเรียนรู้วรยุทธ์จากบิดา และท่านปู่ยังเป็นถึงเจ้าสำนักกระบี่มือหนึ่งในยุทธภพ
“ถึงกระนั้น คำสัญญาของเราข้ายังยึดมั่น”
“ท่านแม่ทัพ จิตใจข้านับถือท่านมิน้อย กระนั้นเราต่างรู้ดีว่าสายน้ำมิไหลย้อนกลับ หลายสิ่งไม่อาจย้อนคืน เมื่อครั้งยังเด็กข้านิยมชมชอบท่าน มิต่างจากเด็กหญิงตัวน้อยที่โหยหาพี่ชายซึ่งเป็นตัวแทนของความกล้าหาญ และยังหล่อเหลาหาผู้ใดเทียบติด แต่เมื่อเติบใหญ่ข้ากลับชอบท่องเที่ยวไปทั่วหล้า สตรีเช่นนี้สมควรเป็นหยางฮูหยินของท่านหรือ”
หยางอี้คังนิ่วหน้า กระนั้นเขายังคิดว่าม่านลั่วลั่วเหมาะสมกับตน ดังนั้นจึงได้ทำสัญญากับนางไว้ว่า ในเทศกาลไว้บ๊ะจ่างของปีหน้า เขากับนางนัดพบกันที่เนินเขานิรนามเพื่อตกลงกันเรื่องคำมั่นในการแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทว่าเมื่อถึงวันจริง เขาไม่ทันได้พบหน้าหญิงคนรัก หยางอี้คังต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งเขาทราบภายหลังว่าเป็นการยุ่งเรื่องที่ไม่สมควรโดยแท้ เพราะนางคือ ซูกุ้ยฟาง สตรีที่ครั้งหนึ่งสร้างบาดแผลไว้บนร่างกายและจิตใจเขา!