ประวัติอันรดา #2

1632 Words
“ใช่… สองคนก็เกินพอแล้ว สำหรับตอนนี้” ภามตอบ “พวกเขาจะเป็นต้นแบบเพื่อเด็กคนอื่นในอนาคต ผมจะรอดูผลลัพธ์ที่จะได้ บางทีผมอาจพิจารณาเปิดโครงการทุนการศึกษาอีกครั้ง” “รับทราบค่ะคุณภาม เราจะทำตามมาตรฐานของคุณอย่างแน่นอน นอกจากนี้แม่ของคุณคุณกุลธิดา เธอลงมือปฏิบัติจริงเพื่อให้มั่นใจว่าเราให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับเด็กที่มาเรียนที่นี่ค่ะ” “ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น ขอตัวก่อนนะครับ” พินรสาวางสายหลังจากการพูดคุยเสร็จสิ้น ไม่คิดติดใจกับโครงการมอบทุนการศึกษาอย่างปุบปับนี้อีก บางทีอาจจะเป็นโครงการนำร่องอย่างที่อีกฝ่ายแจ้งก็ได้ ต่างกับภามซึ่งยังนึกสงสัยตัวเองอยู่ครามครัน ชายหนุ่มถึงกับพึมพำว่า “ฉันเป็นอะไรไป ทำไมฉันถึงทำแบบนี้” เขาไม่เคยคิดที่จะช่วยเหลือใครเลย ยิ่งผู้หญิงที่มีลูกสองคนด้วยแล้ว แต่จิตใต้สำนึกเรียกร้องให้เขาทำแบบนี้ อย่างไรก็ดีเมื่อคิดได้ว่าอันรดาอาจจะเอาเช็คมาคืนแฟรงค์ เขาจึงเดินออกไปนอกห้องทำงาน ฟากฝ่ายอันรดา หญิงสาวไม่อยากเชื่อเลยว่าจะโชคดี เนื่องจากตอนที่อยู่เชียงใหม่ไม่มีโครงการทุนการศึกษาสำหรับเด็กก่อนวัยเรียน ดูเหมือนว่าการกลับมากรุงเทพฯ ก็ไม่ได้แย่เหมือนที่เคยกังวล ไม่ใช่แค่เธอจะได้ทำงานที่ได้รับค่าตอบแทนสูง แต่เธอยังมีบ้านฟรีและค่าเล่าเรียนฟรีสำหรับลูก ๆ อีกด้วย อันรดารู้สึกปลาบปลื้มใจมากจึงอยากรายงานข่าวดีแก่แฟรงค์ หญิงสาวรีบโทรศัพท์หาเขาในขณะที่ยังอยู่ในโรงเรียน “คุณอันรดา ผมดีใจที่คุณโทรมา มีอะไรให้ช่วยไหมครับ” แฟรงค์ถามปลายสาย “คุณแฟรงค์! ที่โรงเรียนเสนอทุนการศึกษาให้กับลูก ๆ ของฉัน เพราะฉันเป็นพนักงานที่บริษัทค่ะ และเด็ก ๆ ก็ผ่านการทดสอบเพื่อรับทุนด้วย!” อันรดาเล่าก่อนอธิบายเพิ่ม “ฉันต้องจ่ายค่าเบ็ดเตล็ดและค่าหนังสือแต่ทางโรงเรียนบอกว่าจะหักจากเงินเดือนของฉัน ดังนั้น... ฉันจะเอาเช็คไปคืนคุณค่ะ” “ทุนการศึกษางั้นเหรอครับ!” แฟรงค์ถามอย่างงง ๆ “ผมไม่เคยรู้ว่าบริษัทเรามีการให้ทุนการศึกษาด้วย ฮ่า ๆ ผมไม่มีลูกดังนั้นผมเลยไม่เคยสนใจถาม ผมขอโทษคุณอันรดา ถ้าผมรู้คงบอกคุณไปแล้ว” “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของคุณค่ะ ฉันได้ยินมาว่าเป็นสวัสดิการใหม่ของพนักงาน!” อันรดากล่าวเสริม “ฮะ!” ชายหนุ่มอุทานอย่างตกใจ “ยังไงก็เถอะคุณอันรดา ไม่ต้องรีบมาคืนเช็ค ข้อเสนอของผมยังคงเดิม เผื่อคุณจำเป็นต้องใช้” แฟรงค์พูดอย่างใจดี ทว่าเสียงของเขากลับหายไปอย่างกะทันหัน อันรดาได้ยินเสียงแฟรงค์สำลัก จากนั้นเสียงจากอีกฝั่งก็เงียบไป สาเหตุที่ทำให้แฟรงค์ต้องหยุดบทสนทนากะทันหัน นั่นเป็นเพราะจู่ ๆ เจ้านายของเขาก็มายืนกดดันอยู่ข้างโต๊ะ ภามเปิดกล่องข้อความของโทรศัพท์และพิมพ์ว่า “บอกให้เธอเอาเช็คมาคืน” จังหวะนั้นอันรดาก็ส่งเสียงเรียกซ้ำเมื่อรออยู่ครู่ใหญ่แล้วยังไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ “คุณแฟรงค์ คุณยังอยู่หรือเปล่าคะ” แฟรงค์จึงพูดขึ้นมาว่า “แต่ถ้าคุณต้องการ คุณสามารถมาหาผมที่บริษัทได้ในภายหลัง มันขึ้นอยู่กับคุณ ผมหมายถึง... คุณควรมา!” “แน่นอนค่ะ! ฉันจะพาเด็ก ๆ ออกไปทานอาหารกลางวันแล้วเราจะไปหาคุณที่ออฟฟิศ” อันรดาพูดอย่างเบิกบานใจ “คุณแฟรงค์ขอบคุณมากสำหรับโอกาส ดูเหมือนว่าการเป็นส่วนหนึ่งของเดอะกลอรี จะทำให้เกิดเรื่องดี ๆ กับฉันมากมาย ได้โปรดขอบคุณท่านประธานด้วยนะคะ” “จริง ๆ แล้วคุณอันรดา... ในเมื่อคุณจะมาที่นี่ ทำไมคุณไม่... บอกท่านด้วยตัวเองล่ะครับ” แฟรงค์เสนอ “แน่นอนค่ะฉันจะทำ… ฉันหมายถึงถ้าคนที่งานยุ่งมากที่สุดอย่างท่านจะพอมีเวลาว่าง เพื่อจะคุยกับพนักงานอย่างฉัน” อันรดาถ่อมตัว ครั้นนึกถึงสถานะตัวเอง ก็ทำให้ถึงกับพูดตะกุกตะกัก “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกคุณอันรดา ใครจะไปรู้ คุณภามอาจจะรอคุณอยู่ ผมหมายถึง ผมจะบอกให้ท่านรู้ว่าคุณกำลังจะมาหาท่าน ผมจะจัดเวลาให้คุณช่วงบ่ายสองโมง โอเคไหมครับ” แฟรงค์พูด “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันคิดว่าตารางงานของท่านคงเต็มแล้ว ฉันไม่อยากรบกวน” อันรดากังวลว่าจะเป็นการรบกวนหรือทำให้เขาลำบากใจมากจนเกินไป “ไม่เป็นไรคุณอันรดา ท่านตั้งหน้าตั้งตารอที่จะพบคุณ ผมหมายถึง... ผมตั้งหน้าตั้งตารอที่จะพบคุณครับ” แฟรงค์พูดพร้อมกับกลั้วหัวเราะ เธอพบว่าแฟรงค์มีอารมณ์ขันเสมอ เขามักจะเอ่ยประโยคแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง “ตกลงค่ะ แล้วเจอกันนะคะคุณแฟรงค์ ขอบคุณอีกครั้งที่รับสายของฉันนะคะ” ครั้นจบการสนทนา อันรดาพาเด็ก ๆ ไปที่โรงอาหารของโรงเรียน เธอให้ฝาแฝดนั่งที่โต๊ะขณะที่เธอไปซื้ออาหารให้พวกเขา เอลลี่ชอบอาหารทอด ในขณะที่อชิต้องการอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์มากกว่า เธอชี้ไปที่หมูผัด “ขอโทษนะคะ นี่ใส่ซอสถั่วเหลืองไหมคะ พอดีลูกของฉันเกลียดรสชาติของถั่วเหลือง” “เปล่าค่ะผัดจากน้ำมันหอย” แม่ค้าตอบ “ดีจังค่ะ ขออันนั้นกับไก่ทอดหนึ่งชิ้นค่ะ” อันรดาสั่ง เธอรู้ว่าลูก ๆ ไม่ค่อยชอบอาหารนอกบ้าน แม้แต่อาหารของโรงอาหารในโรงเรียน เด็กทั้งสองคุ้นเคยกับการกินอาหารที่เธอทำมากกว่า พวกเขาทั้งคู่มีมาตรฐานในเรื่องอาหารสูงมาก ปกติอันรดาจะเตรียมกล่องข้าวอาหารกลางวันให้สองพี่น้อง แต่เนื่องจากเธอคิดว่าจะได้กลับบ้านก่อนเที่ยง ไหนจะความวุ่นวายเมื่อช่วงเช้าอีก กอปรกับต้องไปพบแฟรงค์ที่บริษัท พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกในวันนี้ เมื่อเธอเดินกลับมาหาฝาแฝด อชิถึงกับขมวดคิ้วทันควัน “ทำไมพวกเราถึงมากินข้าวที่นี่ครับแม่” จากนั้นเขาก็จ้องมองช้อนกับส้อมในถาดด้วยสีหน้าจริงจัง “ของพวกนี้สะอาดหรือเปล่าครับแม่” “แม่ค่อนข้างแน่ใจว่าสะอาดนะลูก อชิ สถานศึกษามีมาตรฐานการรักษาความสะอาดระดับสูง” อันรดาชี้ไปที่บริเวณโดยรอบแล้วพูดว่า “มองไปรอบ ๆ ตัวลูกสิจ๊ะ” ลูกชายของเธอมีปัญหาเรื่องความสะอาด เธอหัวเราะเมื่อเห็นอชิแทบจะหมุนศีรษะตรวจตรารอบตัวครบสามร้อยหกสิบองศา จากนั้นเธอก็ได้ยินเขาพูดว่า “มันก็พอใช้ได้” “ยังไงก็เถอะ ในเมื่อพวกลูกทั้งคู่ได้ทุนที่นี่ แม่จึงอยากจะนำเช็คไปคืนให้ลุงแฟรงค์ นั่นคือเหตุผลที่เรากำลังทานอาหารที่นี่จ้ะ หลังจากนี้เราจะกลับไปที่บริษัทอีกครั้ง” อันรดาบอกขณะนำจานอาหารออกจากถาด ไปวางไว้ตรงหน้าเด็กทั้งสอง “อดทนไว้ก่อน พรุ่งนี้เราจะได้กินข้าวฝีมือแม่ สัญญาจ้ะ” อันรดาเอ่ยให้พวกเขามั่นใจ เธอไม่ได้สังเกตว่าลูก ๆ ต่างมองหน้ากัน อชิและเอลลี่วางแผนไว้ในหัวราวกับว่าพวกเขากำลังประสานงานกัน คราวนี้พวกเขาจะไม่ออกจากตึกจนกว่าจะเจอพ่อ เอลลี่ยิ้มหวาน “ค่ะแม่” อชิกินไก่ทอดแล้วพูดว่า “พอใช้ได้ ถึงมันจะขาดเกลือและพริกไทยนิดหน่อยก็ตาม แต่มันก็อร่อยดี” …… ทันทีที่แฟรงค์วางสายโทรศัพท์จากอันรดา ภามก็พูดว่า “เช็กให้แน่ใจว่าตารางงานของฉันว่างตอนบ่ายสอง” “ครับบอส จริง ๆ แล้วบอสไม่มีนัดตอนบ่ายสองครับ” แฟรงค์ตอบ ภามเหลือบมองไปรอบ ๆ นึกพอใจที่เลขานุการที่เหลือออกไปทานอาหารกลางวันแล้ว ฉะนั้นคงไม่มีใครรู้เรื่องที่เขาช่วยเหลืออันรดา เมื่อหันกลับไปหาแฟรงค์ ภามจึงเตือนซ้ำ “จะไม่มีใครรู้เรื่องทุนการศึกษา นายเข้าใจไหมแฟรงค์” “ครับบอส” แฟรงค์พยักหน้าหงึก ๆ ภามสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขามองไปที่โต๊ะทำงานของแฟรงค์และเป็นอีกครั้งที่เขาจับปากกาตั้งโต๊ะไปวางไว้ด้านข้างเพราะเขารู้สึกเกะกะลูกตาเหลือเกิน จากนั้นเขาก็พูดว่า “นำอาหารกลางวันมาให้ฉันที่ห้อง จำไว้ว่าฉันไม่ชอบซอสถั่วเหลือง เตือนพ่อครัวให้ใช้อะไรก็ได้ ยกเว้นสิ่งนั้น” อย่างไรก็ดี ก่อนถึงเวลานัดหมายของอันรดาเพียงเล็กน้อย เลขานุการคนสนิทก็เดินตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง “บอสครับ คุณมีประชุมด่วนครับ” แฟรงค์พูดทันที ซึ่งทำให้ภามถึงกับขมวดคิ้ว “ฉันไม่รับการประชุมเร่งด่วนที่ไม่ได้นัดหมาย นายก็รู้แฟรงค์” “บอสครับ คือคุณหานรั่วเฟยและภรรยาเดินทางมาเมืองไทยครับ” อีกฝ่ายรีบพูดอธิบายว่า “พวกเขามาเยี่ยมญาติแถวสำเพ็ง เลยตัดสินใจว่าจะมาพบบอสครับ” แฟรงค์พักหายใจ “ผมคิดว่า... พวกเขาอาจจะประเมินเมืองไทยว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของพวกเขาหรือเปล่า นี่คือโอกาสของพวกเรานะครับบอส”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD