เป็นคน กระทั่งทอมมี่ ซึ่งตอนนั้นมีอาชีพขับรถบรรทุกถ่านหิน เป็นคนไปพบนอร่าที่บาร์แห่งนั้นเข้าโดยบังเอิญในคืนหนึ่ง
ด้วยความที่ทอมถูกชะตา ทั้งสงสาร เวทนา และตกหลุมรักนอร่าห์ไปพร้อมๆกัน เขาจึงตัดสินใจชวนหล่อนให้มาใช้ชีวิต ร่วมหัวจมท้ายอยู่ด้วยกันที่ฟาร์มแห่งนี้
5 ปีผ่านไป
เดลยังไม่กลับมาตามที่ได้ให้สัญญาไว้ ว่าจะกลับมาภายใน 3 เดือน น่าแปลกใจที่การหายไปนานของเดล ทำให้โซเฟียว้าวุ่นใจ รู้สึกคิดถึงเดลมากกว่าตอนที่คีธหายไป ความรู้สึกฟ้องชัดว่าเธอห่วงใยเดล รักเดลมากกว่าคีธ
โซเฟียใช้ชีวิตผ่านเดือนสุดท้ายของปีที่ 5 มาด้วยความยากลำบากกว่าทุกครั้ง อาหารที่สำรองเอาไว้หมดลงไปหลายวันแล้ว พืชผักที่พอจะเก็บกินได้อย่างข้าวโขดและเผือกมัน ก็ยืนต้นตายแล้งจนแทบไม่มีเหลือตอซังให้ประทังชีวิต
แม้โซเฟียรู้ว่านี่เป็นครั้งสำคัญที่พระเจ้ากำลังทดสอบชีวิตของเธอและลูกสาว แต่นั่นก็โหดร้ายเกินไปอยู่ดี สำหรับชีวิตผู้หญิงสองคนที่ถูกทิ้งเอาไว้กับการรอคอยที่ผ่านไปอย่างลมๆแล้งๆ ค่อยๆสิ้นหวัง อนาคตข้างหน้าดูลางเลือนและริบหรี่ลงเรื่อยๆ หลายครั้งที่โซเฟียรู้สึกอ่อนล้ากับการประคับประคองลมหายใจให้อยู่รอดเพื่อรอการกลับมาของเดล
โซเฟียมองเห็นความหิวที่สะท้อนอยู่ในแววตาวิบวับของลูกสาว แม้ซาบรีน่าจะไม่เคยเอ่ยขอด้วยคำพูด แต่ยิ่งซาบรีน่าไม่พูดออกมาว่าหิว มันทำให้โซเฟียยิ่งเจ็บปวด เพราะสิ่งนั้นบ่งบอกว่าลูกอดทนมากกว่าเธอที่ท้อแท้จนแอบเอาความตายมาครุ่นคิดพิจารณาหลายๆครั้ง
โซเฟียอดคิดไม่ได้ว่า ในวินาทีที่การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยากเย็น…ความตายก็อาจจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
แต่ยิ่งได้เห็นสีหน้าของซาบรีน่าที่แสดงความอดทนต่อความหิวโหยมากเท่าไร มันยิ่งทำให้ผู้เป็นแม่ต้องน้ำตาตกอยู่ในใจมากขึ้นทุกที
วูบหนึ่งในความคิด โซเฟียฉุกคิดขึ้นว่าในฐานะของคนเป็นแม่ ถามตัวเองว่าเธอได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วหรือยัง? สำหรับความรับผิดชอบต่อชีวิตของลูกสาว
“เมื่อไหร่ลุงเดลจะกลับมาคะแม่” เสียงน้อยๆเอ่ยถาม
โซเฟียเบือนหน้า สะบัดหยาดน้ำตาให้กระเด็นตกไปอีกฟากของสายตาลูกสาว แอบกลืนน้ำตาและก้อนความทุกข์จุกคอ ก่อนจะหันกลับมาตอบลูกสาวด้วยใบหน้าแค่นยิ้ม แม้จะฝืดฝืนกลืนน้ำตา ทว่าโซเฟียก็พยายามข่มซ่อนมันเอาไว้เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น
“ไม่นานหรอกจ้ะลูก…ไม่นาน”
ประโยคนั้นไม่เพียงแค่หลอกลูก หากเธอยังหลอกตัวเอง เพราะนอกจากพระเจ้า...ก็มีแต่เดลเท่านั้นที่จะตอบคำถามนี้ได้กระจ่าง
ระหว่างที่สองแม่ลูกยืนกอดกันกลม ท่ามกลางกระแสลมแล้งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นฟางและหญ้าแห้ง ทอดสายตาอาลัยไปในยามเช้าที่เวิ้งว้างว่างเปล่า ได้แต่รอคอยความหวังว่าสักวันเดลจะกลับมา
ไม่นานจากนั้น รถยนต์ยี่ห้อเฟียต แบริลล่า 508 (Fiat 508 Balilla-Spider 1932) สองประตู สีดำเลื่อม คันใหญ่ ก็แล่นเรื่อยเข้ามาที่หน้าฟาร์ม ผ่านประตูด้านหน้าที่เปิดทิ้งเอาไว้ เข้ามาช้าๆ
“รถใครคะแม่” ซาบรีน่าถาม
โซเฟียส่ายหน้าแทนคำตอบ
ซาบรีน่ารู้สึกได้ว่าสีดำเลื่อมและขนาดที่ใหญ่โตของรถยนต์คันนั้น ช่างเป็นภาพที่แตกต่างและแปลกตาไปจากรถม้าที่คนส่วนมากนิยมใช้กันเกลื่อนเมือง รถคันนั้นแลดูหน้ากลัว เพราะสีดำทะมึน ซุ้มล้อที่หนาและใหญ่ ทำให้มันแลดูคล้ายเต่าตัวใหญ่ที่คลานไว หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างที่กำลังคืบคลานด้วยเท้าสั้นๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้เธอกับแม่ทุกขณะ
โซเฟียได้แต่ขมวดคิ้วมอง ไม่ว่าคนที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นจะเป็นใครก็ตาม อย่างหนึ่งที่เธอรู้ก็คือเขาต้องร่ำรวยมหาศาล จึงจะมีรถแบบนั้นได้ และมันสร้างความสงสัยให้เธอว่าคนในรถคันนั้นมีธุระสำคัญอันใด ทำให้เขาต้องดั้นด้นเข้ามาในฟาร์มของเธอ?
ทันทีที่รถจอดสนิท ชายร่างท้วมใหญ่ผู้เป็นคนขับ ก้าวออกมาจากรถช้าๆ
“คุณ คีธ สกินเนอร์อยู่ไหม”
เขาสวมเสื้อกั๊กสีดำทับกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว หน้าผากของเขาดูเถิกกว้างอย่างคนมีปัญญา จมูกโด่งเป็นสัน งุ้มงอตรงปลาย แฝงเอาไว้ด้วยลักษณะของความเจ้าเล่ห์ ด้วยรูปหน้าเจ้าเนื้อ ทำให้เบ้าตานั้นแลดูไม่ลึก และดวงตาที่มีรูปทรงรียาว ทำให้เขาไม่น่ากลัวจนเกินไป เส้นผมสีเทาบนศีรษะแลดูบางจนแทบไม่หลงเหลือ เหนือริมฝีปากมีแผงหนวดดกหนา สีดอกเลา ปกคลุมเอาไว้แน่นจนแลไม่เห็นริมฝีปากบน
โซเฟียไม่ได้ตอบคำถาม หัวใจเต้นระทึก นึกสังหรณ์แรงถึงความเดือดร้อนที่กำลังคลืบคลานเข้ามารางๆ พร้อมกับชายผู้นี้ หลายครั้งที่มีคนมาหาในลักษณะนี้ มักจะหนีไม่พ้นเรื่องเดือดร้อนตามมา เพราะหลายครั้งที่คีธมักจะไปก่อปัญหาเอาไว้โดยที่เธอไม่รู้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
โซเฟียรู้สึกตกใจ กลัวจนพูดอะไรไม่ออก ในวันที่เธอกับลูกสาวกำลังระทดท้อและหมดหวัง ไม่คิดว่าสายลมร้ายยังจะพัดพาเอาเคราะห์กรรมซ้ำร้ายมาทับทบให้ชีวิตของเธอกับลูกต้องทุกข์ระทมอีกหรือ
เมื่อชายคนนั้นเห็นอาการกระอึกกระอักและตกใจของเธอ เขาจึงกล่าวขึ้น พลางเหลือบชำเลืองไปมองซาบรีน่า
“ถ้าเดาไม่ผิด...เธอคงเป็นภรรยาของเขา”
“ใช่ค่ะ…มีเรื่องอะไรคะ” โซเฟียขมวดคิ้ว
เมื่อตั้งสติได้ เธอสบสายตาผู้ชายตรงหน้าอย่างกล้าหาญ
ลักษณะของชายผู้นี้ดูดีกว่าจะเป็นเพียงคนขับรถที่เธอเคยเห็น สังเกตเอาจากคำพูดและท่าทางที่เขากำลังหยิบเอกสารในแฟ้ม ชัดแล้วว่าเขาคือทนาย
“ฉันชื่อจอร์จ เป็นทนายของคุณโจนาธาน” เขาแนะนำตัวเอง
โซเฟียใจหายวาบ…เป็นอย่างที่เธอสังหรณ์
“มีปัญหาอะไรกับคีธหรือคะ” เธอเลิกคิ้วถาม
ทนายไม่ตอบ แต่ยื่นเอกสารให้เธอดู
โซเฟียค่อยๆเอื้อมมือออกไปรับเอกสารจากมืออวบอูมของทนาย
“ตายจริง!...”
ใบหน้าสวยเปลี่ยนไปเป็นซีดเซียวเหมือนแผ่นกระดาษที่ไรตัวอักษร เมื่อพบว่าเอกสารที่เห็นอยู่ในมือของเธอนั้นคือสัญญาจำนองฟาร์ม ที่คีธแอบไปทำเอาไว้โดยที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน
“ไม่น่าเลยคีธ…ทำไมทำอย่างนี้” เธอตัดพ้อสามี ซึ่งในวันนี้เขาไม่ได้อยู่รับรู้ถึงความเดือดร้อนของเธอกับลูก
“สามีเธอไม่อยู่หรอกรึ?…” จอร์จสงสัย
เขากวาดสายตาไปที่บ้าน เพราะคิดว่าคีธอาจจะอยู่ในนั้น และในฐานะหัวหน้าครอบครัว คีธควรจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการออกมารับทราบเรื่องนี้ด้วยตัวของเอาเอง
“ช่วยตามคีธมาพบผมจะได้ไหมครับ”
“เอ่อ…”
“ในฐานะหัวหน้าครอบครัว และเป็นเจ้าของที่ดิน เขาควรจะมารับทราบเรื่องนี้ด้วยตัวเองนะครับ”
“คีธไม่อยู่ค่ะ” โซเฟียตอบพร้อมกับยื่นสัญญาคืนทนาย
จอร์จสังเกตเห็นมือของโซเฟียสั่นน้อยๆ ดูเหมือนว่าความเข้มแข็งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่น้อยนิด กำลังระเหิดหายไปกับแสงแดดอุ่นของรุ่งอรุณ หยาดน้ำตาอุ่นของโซเฟียรินไหลลงมาเป็นสาย ฝันร้ายได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเธอและลูกแล้ว
สายตาของจอร์จจับจ้องอยู่ที่หยาดน้ำตาที่รินรดพวงแก้มละมุน
โซเฟียคิดในใจว่า มันช่างเป็นเช้าที่โหดร้าย สำหรับคนที่ไม่มีอาหารจะกิน…แล้วยังไม่มีบ้านจะให้ซุกหัวนอนในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า