4.3 ปลดผ้าคลุมหน้า

1648 Words
พิธีปักปิ่นของจางเหนียนผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น บรรยากาศภายในเรือนรับรองที่อบอวลด้วยกลิ่นน้ำชาและบุปผาชวนให้รู้สึกสดชื่น ผู้คนพูดคุยหัวเราะกันครึกครื้น “คุณหนูรอง ยินดีด้วย” “สุขสันต์วันเกิดคุณหนูรอง” หญิงสาวในชุดสีกลีบบัวยกยิ้มให้แก่เหล่าผู้อาวุโสที่เข้ามาทักทาย เดินมุ่งหน้าไปทางฮูหยินซ่งซึ่งกำลังนั่งดื่มชาอย่างไม่รีบร้อน “ฮูหยินซ่ง” นางยอบกายคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม “คุณหนูจาง นั่งลงก่อนสิ” ฮูหยินซ่งมีสีหน้าเรียบเฉย เดิมทีคิดว่าจางเหนียนคงไม่ใช่สตรีประเภทที่อยากเข้าหาตนเพื่อหวังจะแต่งเข้าตระกูลซ่ง แต่ดูท่านางคงมองอีกฝ่ายในแง่ดีเกินไป “เจ้ามาหาข้า มีเรื่องอันใดหรือ” จางเหนียนทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ค้อมศีรษะลงราวกับเขินอาย “พูดไปแล้วก็เป็นเรื่องเล็กน้อย เพียงแต่ข้ามีความสนใจเรื่องการเย็บปัก เห็นว่าภาพปักลายหางนกยูงบนชายเสื้อของฮูหยินปักได้อย่างวิจิตรงดงามจึงอยากรู้เหลือเกินว่าชุดที่ท่านใส่ตัดเย็บจากห้องเสื้อใด” คำถามอันเหนือความคาดหมาย ส่งผลให้ดวงตาของฮูหยินวัยกลางคนมีแววประหลาดใจวาดผ่าน จางเหนียนเป็นสตรีคนแรกในงานเลี้ยงที่ถามนางเรื่องชุดที่ใส่ แทนที่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสามีหรือข่าวคราวความเป็นไปในตระกูลซ่ง “ผ้าชุดนี้ข้าซื้อมาจากร้านผ้าไหม แต่การปักเย็บเป็นฝีมือบุตรสาวของข้าเอง” คุณหนูรองของสกุลจางยกมือปิดปาก เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “ฝีมือของคุณหนูซ่งช่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ ข้าขออนุญาตถามได้หรือไม่ว่าคุณหนูเรียนมากี่ปีแล้ว” “เรียนมาได้ห้าปีแล้ว” ยามเอ่ยถึงบุตรสาวคนเล็ก สีหน้าของฮูหยินก็อ่อนละมุนลงอีกหลายเท่าตัว “นางไม่ค่อยชอบออกไปข้างนอกจึงมักจะปักโน่นเย็บนี่ไปเรื่อย เสื้อผ้าที่นางตัดเย็บให้ข้ามีเต็มหีบ แต่นางกลับไม่ชอบตัดเย็บชุดของตนเอง” “คงเป็นเพราะคุณหนูรักฮูหยินซ่งมากเจ้าค่ะ” จางเหนียนกล่าวยิ้มๆ พวงแก้มย้อมสีแดงระเรื่ออย่างน่าเอ็นดู “ช่วงนี้ข้าเองก็คิดว่าจะปักผ้าเช็ดหน้าและชุดฤดูใบไม้ร่วงให้ท่านแม่เช่นกัน ถึงแม้ว่าฝีมือของข้ายังไม่ดี แต่ข้าก็อยากเห็นท่านแม่สวมชุดที่ข้าปักเย็บด้วยตนเองสักครั้ง” ฮูหยินซ่งมองหญิงสาวซึ่งมีทีท่าไร้เดียงสาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเอ่ยออกมา “ประเดี๋ยวอีกสองเดือนข้างหน้า บุตรสาวคนเล็กของข้าเองก็จะถึงวัยปักปิ่น ข้าอยากเชิญคุณหนูรองให้ไปร่วมงานด้วย ไม่ทราบว่าคุณหนูสะดวกหรือไม่” จางเหนียนกะพริบตาคราหนึ่ง “ท่าน...จะให้ข้าไปร่วมงานด้วยหรือเจ้าคะ” “ซานเอ๋อร์ไม่ค่อยมีเพื่อน พวกเจ้ามีความชอบเหมือนกันคงมีเรื่องให้พูดคุยกันมากมาย” ผู้อาวุโสเปรยเสียงเรียบก่อนจะหรี่ตาจ้องนางตรงๆ “เพียงแต่ข้ามีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่ง” “ข้อแม้อันใดหรือเจ้าคะ” “ข้าอยากให้เจ้าปักผ้าเช็ดหน้าให้บุตรสาวข้าผืนหนึ่ง” คำขอของหญิงวัยกลางคน ส่งผลให้มุมปากของโฉมสะคราญโค้งขึ้นนิดๆ ฮูหยินซ่งคงต้องการพิสูจน์ว่าเรื่องที่จางเหนียนพูดมาเป็นความจริงหรือไม่ ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสคงพบกับสตรีที่พยายามเอาตัวไปใกล้ชิดสกุลซ่งหลายรูปแบบ แม้จางเหนียนจะเป็นบุตรีของจางเหมาที่พอรู้จักกับสกุลซ่งอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นที่ต้องแนะนำลูกหลานให้รู้จักหรือสนิทสนม มิหนำซ้ำที่ผ่านมาจางเหนียนยังมีชื่อเสียงไม่ดีในเมืองหลวง การที่ฮูหยินซ่งจะระมัดระวังไว้ย่อมไม่ผิด บททดสอบครั้งนี้ย่อมไม่คณามือนางซึ่งเคยรับจ้างเย็บปักผ้าในชีวิตที่ผ่านมาอยู่แล้ว “หากฮูหยินไม่รังเกียจ ข้าจะตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือเลยเจ้าค่ะ” จางเหนียนจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปไม่ได้เป็นอันขาด ในเมื่อผู้ที่จะมาเป็นพี่สะใภ้ในอนาคตเป็นสหายของคุณหนูคนเล็กของตระกูลซ่ง ดังนั้นนางต้องไปร่วมงานที่จวนสกุลซ่งอย่างแน่นอน หากจะตัดไฟก็ต้องกระทำตั้งแต่ต้นลม นางต้องชิงตัดหน้าพบอีกฝ่ายก่อนจางอวี้ให้จงได้ เมื่อหมดธุระกับฮูหยินซ่ง จางเหนียนก็กล่าวลาพร้อมกับเดินจากมาอย่างไม่รีบร้อน หากไม่นานก็ต้องผงะตกใจเมื่อมีเงาดำของคนผู้หนึ่งเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้า นางแหงนหน้ามองก็พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่นางไม่เคยรู้จัก “คุณหนูจาง ข้ามีนามว่าไป๋เหยียน จากสกุลไป๋...” ครั้นบุรุษคนแรกใช้ความกล้าเข้ามาแนะนำตัวกับนาง คุณชายจากตระกูลอื่นที่ยืนมองอยู่นานแล้วก็รู้สึกว่าตนไม่ควรปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ทำคะแนนนำไปก่อนจึงกรูกันเข้ามาบ้าง “คุณหนูจาง! ข้ามาจากตระกูลลิ่ว บิดาของข้าทำการค้าร่วมกับใต้เท้าจางมาหลายปีแล้ว” “ความงามของเจ้าสะดุดตาข้าตั้งแต่แรกพบ หากคุณหนูจางไม่รังเกียจ ข้าขอเวลาพูดคุยทำความรู้จักกับเจ้าได้หรือไม่” จางเหนียนเป็นสตรีที่งดงาม แถมเป็นบุตรสาวของคหบดีจางและซีเซี่ยซึ่งมาจากตระกูลบัณฑิต มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือหนาหูว่านางค่อนข้างซื่อบื้อและหัวช้า โง่งมกว่าพี่น้องคนอื่นๆ หากแต่งนางเข้าบ้านย่อมเป็นฮูหยินที่ว่านอนสอนง่าย และอยู่ในโอวาท มิหนำซ้ำ บุปผางามที่แบ่งบานส่งกลิ่นหอมนี้ยังเป็นที่หมายปองของคนมากมาย บุรุษทุกคนมักจะมีนิสัยชอบแข่งขันและเอาชนะ หากผู้ใดได้แต่งงานกับจางเหนียนก็เท่ากับว่าได้รับชัยชนะเหนือผู้อื่น ดังนั้นมันจึงกระตุ้นให้พวกเขาพยายามและกระตือรือร้นกันมากขึ้น ทว่าจางเหนียนไม่ได้มีความสนใจเรื่องการแต่งงานเป็นทุนเดิม ชีวิตที่ผ่านมาเปลี่ยนให้นางมีความคิดต่างจากสตรีวัยสิบห้าในรุ่นเดียวกัน และนางก็ยังไม่อยากออกจากคฤหาสน์สกุลจางจนกว่าจะมั่นใจเรื่องความปลอดภัยของมารดากับพี่ชาย ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดคุยกับคุณชายทั้งหลายตามมารยาทขณะพยายามหาจังหวะปลีกตัวออกมาจากความวุ่นวาย ป่านนี้แล้ว ไยชิวชิวจึงยังไม่มาอีก “คุณหนูจาง...” บุรุษที่ยืนอยู่ขวามือทำท่าจะยื่นมือมาจับตัวนาง ทว่าหญิงสาวมีท่าทีตอบสนองไวจึงสามารถก้าวถอยหนีออกมาได้ “คุณชายอย่าได้เสียมารยาท” จางเหนียนฉีกยิ้มหวานหวังไม่ให้อีกฝ่ายโมโหโกรธเคือง ทว่าเพียงรอยยิ้มเดียวของนางยังทำให้บุรุษทั้งหลายต่างตะลึงพรืด ยืนแข็งทื่อราวกับต้องมนตร์สะกด ในจังหวะนั้นหญิงสาวก็สอดสายตามองหาคนช่วย ทว่าทั้งมารดาและจางอวี้ต่างพัวพันอยู่กับการต้อนรับพูดคุยกับแขกเหรื่อ หากจะให้นางตะโกนส่งเสียงเรียกก็ดูจะไม่เหมาะ จางเหนียนอึดอัดใจยิ่งนัก ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าจ้าวชวนกับจางลี่จะนำเรื่องนี้ไปปั้นเสริมเติมแต่ง ปล่อยข่าวลือที่น่ารำคาญออกมาอีก “ข้ารู้สึกเหนื่อย คุณชายทั้งหลาย เอาไว้คราวหน้า...” “คุณหนูจางไม่เห็นจำเป็นต้องอาย” บุรุษผู้หนึ่งก้าวออกมาเบื้องหน้า สายตาโลมเลียจับจ้องนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ภาพวาดบนหน้าผากเจ้ามิใช่มีไว้โอ้อวดหรอกหรือ เจ้าพอบอกความหมายของมันได้หรือไม่” แววตาที่แสดงความเบื่อหน่ายของคุณหนูรองสกุลจางเปลี่ยนไปทันควัน จับจ้องบุรุษปากพล่อยตรงหน้าอย่างเย็นชา “ยอดอาชาย่อมคู่ควรกับยอดนักรบ ยอดตำราย่อมคู่ควรกับบัณฑิตที่เห็นคุณค่า เรื่องบางเรื่องควรเก็บไว้อธิบายกับผู้ที่คู่ควร คุณชาย...ท่านว่าจริงหรือไม่” ผู้ที่ได้ฟังคำตอบจากริมฝีปากสีแดงสดเผยสีหน้าฉงนออกมาราวกับงุนงงกับคำตอบ แต่พอคิดไปคิดมาก็เริ่มตระหนักได้ว่าจางเหนียนเจตนาใช้ถ้อยคำเสียดสี ต่อว่าว่าเขาไม่คู่ควรให้นางเอ่ยปากอธิบาย จางเหนียนถือว่าตนเองมีรูปโฉมโดดเด่นจึงกล้าชูคอไม่เห็นหัวผู้อื่น ทั้งที่นางเองก็เป็นแค่คุณหนูรองของพ่อค้าขุนนางชั้นผู้น้อย! “จะ...เจ้า!” ความอับอายที่เกิดจากการถูกสตรีดูแคลนต่อหน้าธารกำนัล ส่งผลให้ใบหน้าของบุรุษดังกล่าวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ โกรธจนยื่นมือออกมา หมายจะคว้าตัวคนปากกล้ามาลงโทษให้สาสม! จางเหนียนถอยหลบไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว พออีกฝ่ายพลาดท่าคว้าไม่โดนตัวนางก็เริ่มโมโหมากกว่าเดิม สายตาของคนรอบข้างจับจ้องมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว คงเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงข่าวลือซึ่งจะแพร่สะพัดในวันพรุ่ง “ช้าก่อน” เสียงทุ้มที่มาพร้อมกับแขนที่ขวางกั้นระหว่างนางกับชายหนุ่มแปลกหน้า ส่งผลให้บรรยากาศรอบตัวตกอยู่ภายใต้ความเงียบ ดวงตาดอกท้อไล่สายตามองตามแขนเสื้อสีเทาเข้มซึ่งตัดเย็บอย่างประณีต เรื่อยไปจนถึงลูกกระเดือกที่พ้นคอเสื้อ คางเรียวยาวและหยุดลงที่ดวงตาทรงใบหลิวของผู้ที่เข้ามาปกป้อง “คุณชายหลี่?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD