“อืม น้องรองพูดถูก” จางอวี้หันไปกล่าวกับบุรุษทั้งสอง “ข้ามีเรื่องอยากคุยกับน้องรองด้วย เฉิงถิง เจ้าพาคุณชายหลี่กลับไปที่เรือนรับรองได้หรือไม่ ประเดี๋ยวพวกข้าจะรีบตามไป”
เนื่องจากเป็นสหายที่สนิทกัน ชายหนุ่มจึงไหว้วานอีกฝ่ายได้อย่างไม่รู้สึกขัดเขิน
ดวงตาคมของหลี่เฉิงถิงเคลื่อนกลับมามองจางเหนียน อ้าปากคล้ายอยากจะพูดบางสิ่ง บรรยากาศอันน่าอึดอัดก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง สุดท้ายเขาก็เม้มริมฝีปากแล้วหันไปพยักหน้าให้คุณชายของคฤหาสน์
“คุณชายหลี่ เชิญ” บุรุษร่างกำยำผายมือให้หลี่เหอ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเป็นครั้งที่สอง
ซีเซี่ยมองหลี่เหอจนกระทั่งร่างสูงโปร่งหายลับไปจากสายตา “แผ่นหลังของคุณชายหลี่คล้ายคลึงกับบิดาของเขามากทีเดียว”
จางอวี้หันมามองผู้ที่มีศักดิ์เป็นน้าทว่าตนเคารพนับถือประหนึ่งแม่แท้ๆ พลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “ท่านแม่หมายถึงเฉิงถิงน่ะหรือ”
สตรีวัยสามสิบห้าส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ หรี่ตามองจางอวี้ที่รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังถาม “จะหมายถึงเฉิงถิงไปได้อย่างไร แม่เคยพบท่านแม่ทัพเสียที่ไหน”
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านแม่รู้จักกับท่านเสนาบดีด้วย” จางเหนียนพูดขึ้นบ้าง นางไม่เคยได้ยินมารดากล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อน
เสนาบดีหลี่เป็นขุนนางขั้นหนึ่ง ส่วนบิดาของนางเป็นขุนนางขั้นห้า นับว่าห่างชั้นกันมาก จางเหนียนอยากทราบเหลือเกินว่ามารดาไปรู้จักอีกฝ่ายได้อย่างไร
“ไม่เพียงแต่รู้จัก แต่ท่านเสนาบดีเคยไปร่ำเรียนที่สำนักศึกษาของท่านตาพวกเจ้า” ดวงตาของฮูหยินสามเปล่งประกายสดใสราวกับเด็กสาววัยแรกแย้ม จากนั้นก็ก้มหน้ากระซิบลงข้างใบหูของบุตรสาว “ท่านเสนาบดีหลี่คือรักแรกของแม่ละ เจ้าอย่าเอาไปบอกพ่อของเจ้าเชียว”
ในจังหวะนั้นเองที่ความโหยหาและคิดถึงที่นางข่มกลั้นไว้ให้ปะทุขึ้นมา จางเหนียนหลับตาก่อนจะโผเข้ากอดมารดาแน่น ไออุ่นและลมหายใจจากผู้ที่นางสัมผัสเป็นสิ่งที่ยืนยันว่ามารดาของนางยังมีชีวิตอยู่จริง
“ท่านแม่...” เสียงของนางสั่นเครือราวกับกำลังจะร้องไห้
“เหนียนเอ๋อร์” ซีเซี่ยเบิกตากว้าง “เด็กดี เจ้ากลัวมากใช่หรือไม่”
มือบางของมารดาที่ลูบลงบนแผ่นหลังของนางอย่างนุ่มนวลส่งผลให้หญิงสาวสงบลง นางสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมอารมณ์อันอ่อนไหวของตนเอง จากนั้นค่อยผละตัวออกห่างพร้อมกับส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”
“เหนียนเหนียน เจ้าไม่เห็นกอดข้าบ้างเลย”
เสียงทุ้มของชายหนุ่มหนึ่งเดียวในที่นี้ดึงดูดให้สตรีทั้งสองหันไปมองจางอวี้ที่ยืนกอดอก แก้มของเขาพองเล็กน้อยราวกับเด็กที่กำลังเง้างอน
“พี่ชายใหญ่” จางเหนียนยิ้มให้อีกฝ่าย ดีใจเช่นกันที่จางอวี้ในยามนี้ดูแข็งแรงมีชีวิตชีวา “พวกเราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะเจ้าคะ”
“ข้ายอมให้ก็ได้ ก็วันนี้เป็นวันพิเศษของเหนียนเหนียนนี่เนอะ” จางอวี้หันมายิ้มกว้างให้นางจนตาหยี “ข้าเตรียมของขวัญให้เจ้าแล้ว คิดว่าเจ้าต้องชอบมันมากที่สุดในบรรดาของขวัญทุกชิ้น”
“ใครว่า เหนียนเอ๋อร์ต้องชอบของขวัญของแม่มากที่สุดต่างหาก”
“ของขวัญที่ท่านแม่เตรียมให้ทุกปีก็ซ้ำกันไปมา เหนียนเหนียนคงเห็นจนเบื่อแล้ว...”
“อาอวี้ เรื่องอื่นแม่อาจยอมให้เจ้าได้ แต่เรื่องนี้แม่ไม่ยอมหรอกนะ!”
หญิงสาวหัวเราะนิดๆ เมื่อเห็นชายหนุ่มกับมารดาเริ่มโต้เถียงกันไปมาอย่างน่ารัก ชิวชิวสบโอกาสนั้นรีบเดินเข้ามาหาผู้เป็นนาย ถามไถ่ถึงเรื่องที่ขับข้องใจอย่างอดเสียมิได้
“คุณหนู ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดท่านจึงช่วยคุณหนูสาม ทั้งที่นางจ้องจะทำร้ายท่านแท้ๆ” ชิวชิวส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ขณะที่จางเหนียนผินสายตาไปหานางด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เหตุผลที่หญิงสาวให้ชุดแก่จางลี่ ส่วนหนึ่งก็เพราะต้องการดูดีต่อหน้าผู้อื่น แต่อีกส่วนหนึ่งคือนางต้องการให้จางลี่รีบเปลี่ยนชุดแล้วเข้างานให้ทันก่อนพิธีปักปิ่น
สีหน้าของสองแม่ลูกที่จะแสดงออกมาหลังจากได้เห็นนางปลดผ้าคลุมหน้า... เพียงแค่คิดก็ทำให้จางเหนียนตื่นเต้น จนแทบรอไม่ไหว
ทว่านางไม่จำเป็นต้องอธิบายทุกเรื่องให้สาวใช้ของตนเองฟัง
“ข้ามีเหตุผลของข้า”
น้ำเสียงราบเรียบของผู้เป็นนาย ส่งผลให้ชิวชิวก้มหน้าลงต่ำ รู้ดีว่าไม่ควรละลาบละล้วงไปมากกว่านี้ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
จางเหนียนถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาไปทางจางอวี้ซึ่งเดินอยู่เคียงข้าง “พี่ชายใหญ่ วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ท่านอย่าชวนท่านแม่ทะเลาะได้หรือไม่”
“ได้ หากเป็นคำขอของเหนียนเหนียน พี่ชายก็พร้อมที่จะฟัง” จางอวี้ยิ้มกว้างจนตาหยี
ซีเซี่ยหรี่ตามองผู้ที่เติบโตเป็นชายหนุ่มวัยสิบเก้าแต่ยังติดน้องสาวพลางถอนหายใจ “เหนียนเอ๋อร์ ตกลงเมื่อครู่นี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ จางลี่...นางวางแผนกลั่นแกล้งเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
“นางอยากให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยงสาย แต่ไม่สำเร็จ”
ผู้เป็นมารดาเบิกตากว้างอย่างตกใจ ใช้สองมือจับไหล่ของบุตรสาว “นางไม่ได้ทำร้ายเจ้าใช่ไหม เหนียนเอ๋อร์...แม่ไม่ดีเอง หากแม่ปกป้องเจ้าให้ดีกว่านี้...”
เสียงที่สั่นนิดๆ ของซีเซี่ยบีบคั้นหัวใจนางอย่างยิ่ง
ที่ผ่านมาเป็นจางเหนียนเองที่อ่อนแอเกินไป ซีเซี่ยเป็นสตรีที่อ่อนนอกแข็งใน ทว่านางจำเป็นต้องอดทนอดกลั้นต่อสองแม่ลูกเพื่อปกป้องบุตรสาวอันเป็นที่รัก
มือเรียวบางของหญิงสาวกุมมือซีเซี่ยเบาๆ “ท่านแม่ เมื่อครู่นี้ท่านก็เห็นแล้วว่าจางลี่แพ้ภัยตนเอง น้ำชาที่นางเตรียมไว้สาดใส่ข้าหกใส่ตัวนาง”
“สวรรค์ย่อมคุ้มครองคนดี” จางอวี้พูดเสริม “เหนียนเหนียน แล้วเหตุผลที่ทำให้เจ้าใช้ผ้าคลุมปิดหน้า?”
“พี่ชายใหญ่วางใจเถิด หน้าของข้าปลอดภัยดี”
คำยืนกรานจากปากของจางเหนียน ส่งผลให้สีหน้าของซีเซี่ยและจางอวี้ผ่อนคลายลง
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหากเจ้ามีปัญหาหรือถูกผู้ใดรังแก เจ้าสามารถบอกพี่ได้ทุกเรื่อง พี่จะจัดการให้เจ้าเอง”
“ข้ารู้” นางยกยิ้มพลางมองชายหนุ่มด้วยแววตาที่มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจ “ข้ารู้ดีว่าพี่ชายใหญ่กับท่านแม่รักข้ามากที่สุดในโลก”
ซีเซี่ยยิ้มตาม แล้วเอามือแตะแผ่นหลังของจางอวี้และจางเหนียน “เอาละ ไว้สองคนพี่น้องค่อยไปคุยกันต่อวันหลัง ตอนนี้เราต้องรีบไปกันแล้ว แขกทุกคนต่างรอคอยที่จะพบเจ้าของวันเกิด ไม่ควรปล่อยให้พวกเขารอนานนัก”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่” นางตอบพลางหันไปมองสาวใช้ประจำตัว “ชิวชิว เจ้าเองก็เตรียมตัวให้พร้อม”
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะคุณหนูรอง ข้าจะคอยดูแลปกป้องท่านเอง”
ผู้เป็นนายพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก นางรู้อยู่แล้วว่าพอถึงคราวคับขันขึ้นมาจริงๆ ชิวชิวก็คงช่วยเหลือนางไม่ได้ดังที่รับปากเอาไว้
แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ถือเป็นหนึ่งในคนที่เป็นมิตร มิตรที่หาได้ยากยิ่งในคฤหาสน์อันกว้างใหญ่แห่งนี้
“ท่านแม่” จางอวี้เดินมาประคองไหล่มารดาแล้วกระซิบถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ตกลงท่านเตรียมสิ่งใดไว้ให้เหนียนเหนียนหรือ พอจะบอกข้าได้หรือไม่...”
จางเหนียนมองมารดากับพี่ชายซึ่งเดินเคียงข้างกันอยู่ด้านหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน ในใจรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอม ขณะที่ดวงตาดอกท้อฉายแววมุ่งมั่นจริงจัง
การย้อนเวลากลับมาครั้งนี้...ถือเป็นการย้อนเวลาที่คุ้มค่าที่สุด
“ครั้งนี้ข้าจะปกป้องพวกท่านให้ได้”