สาม
คุณชายหลี่ทั้งสอง
ทันทีที่มาถึงตัว จางอวี้ก็ปรี่เข้าไปหาจางเหนียนก่อนเป็นอันดับแรก ทั้งที่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้คือจางลี่
ไม่สิ...จางเหนียนเองก็ได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจเช่นกัน
คุณหนูรองแห่งคฤหาสน์สกุลจางหันไปมองเสี้ยวหน้าพี่ชาย แม้นางจะมีผ้าคลุมใบหน้ามิดชิด แต่จางอวี้ก็จดจำรูปร่างและลักษณะอื่นๆ ของนางได้อย่างแม่นยำ
ภาพของจางลี่ที่กำมือแน่น ทำหน้าราวกับลูกสุนัขถูกทอดทิ้ง ส่งผลให้จางเหนียนคลี่ยิ้มเยาะ เบียดกายซบลงบนไหล่พี่ชายข้างกายอย่างออดอ้อน
“พี่ชายใหญ่ ข้าไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่...ตกใจนิดหน่อยเท่านั้น” คุณหนูรองแสร้งทำเสียงสั่น เรียกร้องความสงสารจากจางอวี้อย่างเต็มที่
ด้านพี่ชายที่หลงน้องสาวทำเสียงขึงขังไม่พอใจ ตวัดสายตาไปทางน้องสาวต่างมารดาอีกคนอย่างหัวเสีย “จางลี่! เจ้าหาเรื่องกลั่นแกล้งเหนียนเหนียนอีกแล้วรึ!”
“ท่านมีตาก็ถ่างดูสิว่าใครกันแน่ที่ถูกกลั่นแกล้ง!” จางลี่โวยกลับอย่างไม่ยอมแพ้
จางอวี้ได้ฟังเช่นนั้นก็ชะงักงัน หันไปกวาดตามองจางเหนียนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นค่อยหันไปทางจางลี่ซึ่งชุดสีสวยแปดเปื้อน
ทว่าจางเหนียนไม่ใช่ผู้ที่จะรังแกผู้อื่น ลำพังตัวนางเองยังดูแลตัวเองแทบไม่ได้ และที่ผ่านมาก็มีแค่จางลี่ที่กลั่นแกล้งพี่สาวอยู่ฝ่ายเดียว
“เจ้า...เจ้าต้องรังแกเหนียนเหนียนแน่ เจ้าทำให้นางต้องเอาผ้าคลุมหน้า!” บุตรชายคนโตของสกุลจางโยงผิดโยงถูกไปหมด ส่งผลให้จางลี่แทบอยากตะเบ็งเสียงกรีดร้องใส่
“เส็งเคร็งสิ้นดี! พี่ชายของข้าตาบอดหรือนี่!”
“จางลี่...เจ้า!” จางอวี้เบิกตากว้าง “ถ้อยคำหยาบคายไร้ความนุ่มนวลเยี่ยงนี้ใช่สิ่งที่กุลสตรีในห้องหอควรพูดออกมารึ!”
จางเหนียนมองพี่ชายกับจางลี่สลับกันไปมา อดคิดในใจไม่ได้ว่าเพียงได้ฟังเด็กสาวพูดว่า ‘เส็งเคร็ง’ ยังโมโหถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเขาได้ฟังคำพูดที่นางใช้ในชาติที่สามยามออกไปใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ด้านนอกจะไม่เป็นลมล้มพับไปเลยหรือ
นางคิดพลางปิดปากไอเสียงดัง ดึงความสนใจของสองพี่น้องให้กลับมายังตน จากนั้นค่อยพยักพเยิดใบหน้าไปทางคุณชายอีกสองท่านที่เพิ่งเดินมาถึง
สายตาของจางลี่เคลื่อนไปจับจ้องใบหน้าคมเข้มของหลี่เฉิงถิงเป็นอันดับแรก ส่งผลให้จางเหนียนซึ่งยืนมองอยู่กลอกตาเล็กน้อย
แหม...ข้าน่าจะรู้นะว่า ที่ผ่านมาจางลี่มองเฉิงถิงด้วยแววตาราวกับจะกลืนกินแบบนี้มาโดยตลอด
ที่ผ่านมานางไม่เคยสังเกตก็เพราะทุกครั้งที่พบหน้า นางเองก็เอาแต่มองเขาด้วยแววตารักใคร่หลงใหลอย่างโงหัวไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน
ยามที่สตรีตกอยู่ในห้วงรักก็มักจะหูตามืดบอด ไม่ว่าความคิดหรือสายตา หรือแม้กระทั่งการได้ยินก็มักจะเพ่งความสนใจไปยังบุรุษในดวงใจจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง กระทั่งยามที่กำลังเดินอยู่บนสะพานผุเหนือเหวลึกก็ยังไม่เห็น กว่าจะรู้ตัวก็เป็นยามที่สะพานพังทลายและตนได้ร่วงลงสู่ก้นบึ้งของหุบเหวไปเสียแล้ว
เพื่อให้ได้ครอบครองบุรุษที่หลงรัก จางลี่กลับเลือกที่จะทำร้ายนาง
แต่ต่อให้หูตามืดบอดอย่างไร การลงมือทำร้ายและใส่ร้ายพี่สาว...หรือกระทั่งสตรีอื่นที่บริสุทธิ์ไร้มลทินก็ถือว่าเป็นความผิดที่ไม่ควรให้อภัยอยู่ดี
ความทรงจำที่ฝังรากลึกจับขั้วกระดูกดำ ส่งผลให้นัยน์ตาดอกท้อซึ่งทอดมองจางลี่เย็นยะเยือก ก่อนจะอ่อนโยนลงเมื่อสบตากับจางอวี้ที่มองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“คะ...คุณชายหลี่” จางลี่พึมพำชื่อบุรุษที่ตนปักใจ ครั้นชายหนุ่มผิวเข้มหันหน้ามามอง พวงแก้มของเด็กสาวก็ระบายด้วยสีผลท้ออย่างขวยเขิน เปิดเผยความรู้สึกทุกอย่างออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างไร้เดียงสา
จางเหนียนผินสายตาจากภาพเบื้องหน้าแล้วหันไปจับจ้องบุรุษอีกคนหนึ่ง เหตุการณ์ในอดีตที่นางถูกสาวใช้ของจางลี่ทำน้ำชาเปื้อนชุด มีเพียงแค่จางอวี้ จ้าวชวนกับซีเซี่ยที่มาเห็น แต่ไม่มีหลี่เหอหรือว่าหลี่เฉิงถิง
คราวนี้จ้าวชวนกับซีเซี่ยกลับไม่มา...
“คารวะคุณชายหลี่ทั้งสอง” จางเหนียนย่อกายคารวะชายหนุ่มทั้งสองอย่างนุ่มนวล
หากเป็นเรื่องราวก่อนที่นางจะย้อนเวลากลับมา นางคงดีใจมากที่หลี่เฉิงถิงได้มาเห็นธาตุแท้ของจางลี่ ทว่าเวลานี้การที่เขาจะเห็นหรือไม่มันก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ทว่าสิ่งที่นางเป็นห่วงก็คือ การปรากฏตัวของชายหนุ่มทั้งสองที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์เดิมนี้อาจหมายความว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
นางจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก แม้จะมีข้อได้เปรียบเรื่องความทรงจำจากชาติแรก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิ่งที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นดังวันนี้เกิดขึ้นอีก
ในขณะที่จางเหนียนบอกกล่าวกับตนเองในใจ ฮูหยินรองกับฮูหยินสามก็ถูกสาวใช้นำมาถึงพอดี
“เหนียนเอ๋อร์! / ลี่เอ๋อร์!”
ซีเซี่ยกับจ้าวชวนเพิ่งมาถึงก็ส่งเสียงเรียกชื่อบุตรสาว ซีเซี่ยปรี่ไปหาจางเหนียน ฝ่ายจ้าวชวนตรงไปหาจางลี่ จำนวนคนที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ระเบียงทางเดินแห่งนี้ดูแคบลงในพริบตา
ฮูหยินสามเห็นจางเหนียนมีผ้าคลุมปิดหน้าก็มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในสถานการณ์แบบนี้นางก็ทราบดีว่าตนยังไม่ควรถามออกไป ตั้งใจจะจัดการเรื่องราวกับทางจางลี่ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
“เหนียนเอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงมายืนอยู่ที่นี่ ไม่รีบเข้าไปในงานเลี้ยง”
“เกิดอุบัติขึ้นเล็กน้อยเจ้าค่ะ ท่านแม่” จางเหนียนตอบมารดาเสียงนุ่ม หางตาของนางเปียกชื้น
ท่านแม่ของนางยังมีชีวิตอยู่... นางยังไม่ตาย
หญิงสาวคิดพลางเม้มริมฝีปากที่สั่นเครือ ใจจริงแทบอยากโผเข้ากอดอีกฝ่ายด้วยความคิดถึงแต่ก็ทำไม่ได้
“ฮึ่ย!” จางอวี้ซึ่งยืนกั้นระหว่างจางเหนียนกับจางลี่เพื่อปกป้องน้องสาวคนโปรดส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “เหนียนเหนียน เจ้าจะพูดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ?”
หญิงสาวพยักหน้าตอบรับพี่ชายคนโต หวังจะให้เหตุการณ์นี้คลี่คลายลงโดยเร็วที่สุด
ด้านจ้าวชวนตบหลังบุตรสาวของตนเบาๆ “ลี่เอ๋อร์ เป็นอะไรหรือไม่”
“ข้า...ข้าไม่เป็นไร” จางลี่ตอบเสียงสั่น นางจะกล้าพูดออกไปได้อย่างไรว่าน้ำชาที่เปื้อนอยู่บนชุดเกิดจากแผนการที่ล้มเหลวของตนเอง
ผู้เป็นมารดาหันไปหรี่ตามองจางเหนียนอย่างประเมิน ก่อนจะหันมากล่าวกับจางลี่อีกครั้ง “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รีบทักทายคุณชายทั้งสองเร็วเข้า อย่าเสียมารยาท”
“คะ...คารวะคุณชายทั้งสอง” จางลี่ซึ่งรู้ตัวว่าชุดของตนเองเปื้อนน้ำชาย่อกายลงอย่างอับอาย ร่างที่ส่ายไปมาเล็กน้อยส่งผลให้จ้าวชวนมองแล้วถลึงตาใส่อย่างตำหนิ
ไม่อยากเชื่อเลยว่าบุตรสาวนางจะทำตัวขายหน้าต่อหน้าคุณชายจากตระกูลใหญ่ ทั้งยังดูแย่เสียยิ่งกว่าจางเหนียนผู้โง่งม!
“คุณหนูจาง” หลี่เหอพยักหน้าตอบรับคำทักทายจากสตรีทั้งสอง ดวงตาทรงใบหลิวจับจ้องสตรีที่ปกปิดหน้าตานานเป็นพิเศษ
จางเหนียนยกยิ้มบางเบา นางคิดถูกแล้วที่ใช้ผ้าโปร่งคลุมใบหน้า การทำเช่นนี้ย่อมกระตุ้นให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยใคร่รู้ กระทั่งบุตรชายของเสนาบดีหลี่ที่ไร้มนุษย์สัมพันธ์กับผู้คนยังให้ความสนใจ
“วันนี้ข้าเพิ่งมีโอกาสได้มาที่คฤหาสน์สกุลจางเป็นครั้งแรก ได้คุณชายหลี่คอยนำทางให้จึงได้มาที่นี่ ไม่ได้มีเจตนามาก้าวก่ายเรื่องราวภายใน หวังว่าคงไม่ได้สร้างความอึดอัดใจให้คุณหนูและฮูหยิน” หลี่เหอประสานมือพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง แม้บิดาและตนมีตำแหน่งใหญ่กว่าเจ้าบ้านสกุลจาง ทว่าชายหนุ่มก็เลือกที่จะพูดจาอย่างมีมารยาทและให้เกียรติ
“อุ๊ย! คุณชายหลี่...” ซีเซี่ยยกมือปิดปาก นัยน์ตาที่มองบุตรชายของเสนาบดีดูเปล่งประกายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
นางนึกไม่ถึงว่าบุตรชายของท่านเสนาบดีหลี่อวิ๋นจะมีมารยาทดีพร้อมเช่นนี้