“ขิงไปกินขนมกับเหมย” นั่งลงเก้าอี้ประจำ พลางหันไปมองร่างสูงของพ่อเลี้ยงสิงห์ที่เดินตีหน้ายิ้มแย้มมาหาแม่ มันเป็นภาพที่ดีสำหรับแม่แต่สำหรับฉัน... มันโคตรจะเฟคเลย!
“คิดไว้ยังว่าจบแล้วจะทำอะไร?” จู่ๆ แม่ก็ถามขึ้นมาเกี่ยวกับอนาคตของฉันซึ่งเมื่อก่อนไม่เคยสนใจ “ฉันบอกแกแล้วว่าไม่ให้เรียนด้านนี้ จบมาจะหางานหาการอะไรทำ”
“หาได้ก็แล้วกัน แค่แม่ปล่อยขิงบ้าง”
“เหอะ แกอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้” แม่ชี้หน้าฉันขณะกำลังทานอาหารตรงหน้า “ไม่มีพ่อให้อยู่ตามใจแล้ว แกอย่าคิดออกไปจากที่นี่อย่างที่หวังไว้”
“แล้วเพราะอะไรขิงถึงจะออกไปไม่ได้” วางช้อนลงอย่างแรงพลางสบตากับแม่ แน่นอนว่าทุกครั้งที่เราเจอกันไม่เคยเลยที่จะพูดคุยกันดีๆ ไม่เคยมีหรอกโมเมนต์แบบนั้น มันตายไปหมดแล้ว ตายไปพร้อมกับพ่อไง “ขิงโตแล้ว ปีเดียวก็จะเรียนจบ แม่จะรู้ได้ยังไงว่าขิงเอาตัวรอดได้หรือเปล่า ถ้าไม่คิดจะปล่อยขิง”
“หึ ปล่อยให้แกไปใจแตกน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ”
“กลัวจะใจแตกแบบแม่ใช่ไหม”
“น้ำขิง!” ฉันยกยิ้มมุมปาก อาจจะดูเลวในสายตาของใคร ดูไร้มารยาทที่พูดจาแบบนี้กับแม่ แต่ฉันขอบอกไว้เลยว่าฉันไม่เคยมีความสุขที่จะอยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่พ่อจากไป มีแต่ความทุกข์และพร้อมจะโบยบินออกไปจากที่นี่ ติดตรงที่แม่พยายามขังฉันไว้เพียงเพราะ...
“ขิงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ก่อนที่แม่จะระวังขิง แม่ระวังคนใกล้ตัวก่อนเถอะ” เบนสายตาไปฝั่งตรงข้ามซึ่งพ่อเลี้ยงสิงห์จับจ้องฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขากำลังสะใจมากกว่าที่ฉันกับแม่ทะเลาะกันแบบนี้
“แกหมายความว่ายังไง? ทำไมต้องมองพ่อเลี้ยงแบบนั้นด้วย”
“เปล่า” ยักไหล่ไหว “ก็แค่มอง”
ฉันก้มหน้าทานอาหารตรงหน้าต่อโดยไม่สนใจคำด่าทอของแม่ที่ยังคงพ่นออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งมันมีเรื่องมรดกที่ฉันควรจะได้ปนอยู่ด้วย ที่แม่อยากให้ฉันอยู่ที่นี่มันก็มีเหตุผลเดียวคือมรดกของฉันจะยังไม่ได้จนกว่าจะอายุครบยี่สิบห้าปี กว่าจะถึงตอนนั้นฉันคงประสาทกินแน่ๆ ถึงได้พยายามจะออกไปจากที่นี่ แม่พยายามยึดทุกอย่างที่ฉันมีไปจนหมด ฉันถึงได้เหมือนคุณหนูทั้งที่จริงมันไม่ใช่เลยสักนิด
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกคิดอะไรกับพ่อเลี้ยง เขาเป็นผัวแม่นะจำไว้”
“ขิงจำได้” เงยหน้าสบตากับแม่และมองหน้าพ่อเลี้ยงสิงห์ “บอกคนของแม่เถอะ เพราะขิงไม่นิยมกินคนรุ่นพ่อ”
“น้ำขิง!”
“ช่วงนี้ขิงจะกลับบ้านดึกหน่อย บอกเวลาไม่ได้นะ” ลุกขึ้นหยิบกระเป๋ามาสะพายไหล่ “ขิงเรียนพิเศษกับอาจารย์สอนวาดภาพ”
“ใครสั่งให้แกไปเรียน?”
“ตัวขิงไง” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “แม่เคยบอก หวังว่าคงไม่ลืมนะที่ว่าเรื่องเรียนแม่จะไม่ยุ่ง”
“...”
“เบื่อที่จะต้องกลับมาบ้าน สู้กลับมาตอนที่แม่นอนเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันเรื่อง... คนนอก” เบนสายตาไปมองพ่อเลี้ยงสิงห์พลางขึ้นบันไดไปยังห้องตัวเองจึงปิดล็อคห้องอย่างแน่นหนา และล็อคกลอนอีกชั้นด้วยการทำขึ้นมาแบบพิเศษโดยที่แม่และพ่อเลี้ยงสิงห์ไม่รู้ ตกดึกฉันมักจะได้ยินเสียงลูกบิดประตูห้องตัวเองดังอยู่ตลอดจนถึงขั้นเสียงไขประตูเข้ามา ดีที่กลอนล็อคอีกชั้นช่วยชีวิตไว้ไม่อย่างนั้นฉันคงจะกลายเป็นลูกที่แย่งผัวแม่แน่นอน
ถอนหายใจอยู่บนเตียงและมองภาพถ่ายของฉันกับพ่อจึงหยิบขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนไปด้วยความทุกข์ “ขิงคิดถึงพ่อ”
บอกแบบนี้เสมอจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน บางทีฉันอยากจะไปอยู่กับพ่อนะถ้าอยู่แล้วมันไม่มีอะไรดีขึ้น การได้ปล่อยชีวิตของตัวเองออกไปคงจะดีไม่น้อย แต่ก็เหมือนพ่อจะมาบอกฉันเสมอเวลาคิดแบบนั้น พ่อจะเตือนให้ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อท่าน มีชีวิตอยู่เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ
แต่สิ่งที่ฉันต้องการคืออิสระจากการไปจากที่นี่... เมื่อนั้นความสุขคงจะมาเยือนฉันเอง
“วันนี้เป็นการใช้สีน้ำมันแบบพื้นฐาน ผมอยากเห็นจินตนาการของพวกคุณว่าจะมีความคิดอะไรหรือมีเจตจำนงอะไรในการใช้สีน้ำมันวาดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา” เช้านี้ฉันอยู่ในคลาสของคุณคัทที่กำลังให้พวกเราจับจ้องกระดาษตรงหน้าและมีถาดสีน้ำมันให้เลือกใช้ “มีเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ในส่วนที่ใครจัดการภาพตรงหน้าเสร็จแล้วมาเช็คชื่อกับผมแล้วออกคลาสได้เลยครับ เริ่มได้”
เมื่อคุณคัทจับเวลาทุกคนก็ต่างพากันวาดภาพ สาดสีในสิ่งที่จินตนาการออกไป ส่วนฉันก็นั่งมองกระดาษตรงหน้าอย่างนิ่งๆ มองภาพของเหมยที ของไอซ์ทีก็ถอนหายใจออกมา เรื่องเมื่อคืนทำให้ฉันวิตกกังวลไม่น้อย ความคิดในตอนนี้มันเลยว่างเปล่าไปหมดถึงจะต้องแยกแยะแต่ฉันกลับทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ทำไมไม่วาด” น้ำเสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฉันสะดุ้งจึงเงยหน้าไปสบตากับคุณคัทที่กอดอกมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ขอโทษค่ะอาจารย์” ฉันยกมือไหว้เขาและหยิบพู่กันขึ้นมาตามด้วยการเทสีน้ำมันที่อยากจะวาดลงถาด ละเลงผสมผสานเข้าด้วยกันจนกระดาษสีขาวกลายเป็นสีดำเทา ขาวปะปนกันไป ในส่วนลึกมันพาให้ฉันวาดหน้าผู้หญิงหลับตาและมีน้ำตาไหลออกมา เป็นภาพที่ชวนให้เศร้าใจซึ่งมันคือสิ่งที่ฉันสื่อสารออกไปได้ตอนนี้
“เธอโอเคหรือเปล่า?” คุณคัทถามขึ้นมาทำให้ฉันหยุดชะงักมือที่กำลังละเลงสีลงไปต่อ หลับตาลงและหันไปส่ายหน้าให้กับเขา
“โอเคค่ะ” ดวงตาคมมองฉันราวกับต้องการสื่อสารอะไรสักอย่าง แต่ทว่าเขากลับเดินสวนไปหาเพื่อนในห้องคนอื่นเพื่อดูภาพตรงหน้าของแต่ละคนอย่างละเอียด เวลาผ่านไปในห้องตอนนี้จึงมีแต่ฉันคน