“เปล่า”
“แล้วตอนนั้นมึงคิดอะไรอยู่ถึงถามล่ะ” ไอ้โจ้จี้ตูดผมจนถอนหายใจเสยผมขึ้นอย่างหงุดหงิด
“เลิกพูด” ตอบออกไปคำเดียวไอ้โจ้ก็พยักหน้าเข้าใจ ผมกับมันถึงได้คบกันได้นานไงเพราะนิสัยคล้ายกันแบบที่สุด
“ว่าแต่มึงหานางแบบได้ยัง?” ส่ายหน้าไปมาเพราะผมมีแพลนจะต้องวาดรูปเปลือยของผู้หญิงเพื่อจะจัดแสดงในนิทรรศการครั้งต่อไป ปกติผมจะไม่ค่อยนำภาพคนที่วาดไปจัดแสดง แต่อยากให้งานมีความเปลี่ยนแปลงบ้างจึงต้องหานางแบบเปลือยมา แต่ทว่าหาเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้เพราะผมได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรเรื่องมาก “ก็มีมาสมัครมึงก็ไม่เอา”
“ไม่ใช่ว่าคนที่มาไม่ดีนะ” ผมตอบออกไปเมื่อนึกไปถึงสาวสวยหลายคนที่มาสมัคร “แต่ละคนไม่มีความเป็นธรรมชาติ”
“หมายถึง?”
“บางคนทำนม ทำหน้าจนแข็งไปหมด มันไม่เมกเซ้นส์”
“อ๋อ เดี๋ยวกูช่วยหา”
“ขอดีๆ งานนี้ใช้เวลานาน หาได้เร็วก็จะได้เสร็จเร็วขึ้น” งานวาดภาพเปลือยนอกจากจะใช้เวลานานหลายเดือนแล้ว ยังต้องใช้สมาธิมากด้วย ผมจึงตั้งใจกับผลงานชิ้นนี้มาก ในส่วนภาพเปลือยที่เคยวาดไปก่อนหน้านั้นผมไม่สามารถนำมาจัดแสดงได้เพราะบางท่านก็ขอซื้อภาพตัวเองกลับไป ดังนั้นภาพที่อยู่ที่บ้านจึงไม่สามารถเอามาใช้เพราะบางภาพผมวาดตั้งแต่สมัยเรียนด้วยซ้ำไป
“แต่สาวๆ พวกนั้นอยากมาสมัครก็เพราะอยากแก้ผ้าให้มึงดูนะ”
“แล้ว?”
“ไม่... หวั่นไหว” เวลาวาดภาพเปลือยจะต้องถามกันแบบนี้เสมอว่า ‘มึงไม่หวั่นไหว’ หรือ ‘ไม่เกิดอารมณ์บ้างเหรอ?’ ผมก็ขี้เกียจจะอธิบายนะว่าต่อให้แก้ผ้าหรือไม่แก้ผ้า ถ้าผมคิดว่าทำงาน บนร่างผู้หญิงตรงหน้าคือสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น เราควรมองให้เป็นศิลปะ ผมไม่ได้ลามกจกเปรตถึงขนาดจะเกิดอารมณ์ทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงนะ
“ทำไมต้องหวั่นไหว?” ตอบออกไปอย่างหงุดหงิด “ไร้สาระ ทุกอย่างที่ทำคืองาน ศิลปะคือหัวใจของกู... ต่อให้ผู้หญิงตรงหน้าจะเปลือยต่อหน้าเป็นสิบคน กูก็ไม่รู้สึกหวั่นไหว”
“ตายด้าน” ไอ้โจ้ยกยิ้มมุมปากก่อนจะเท้าคางมาตรงหน้าผม “ที่ไม่สน กูว่ายังคงคิดถึงนิน”
“...”
“มึงยังรักนินอยู่ ดูก็รู้” มันผลักศีรษะผมก่อนจะเดินไปหาลูกค้าซึ่งเรียกเก็บเงิน ผมถอนหายใจพลางนึกถึงใบหน้าสวยของนินผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักและคบหากันมานาน เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้ผมรู้จักกับคำว่ารักเลยก็ว่าได้
วันนี้ผมมานั่งรอไอ้โจ้หลังจากที่เมื่อคืนมันโทรมาบอกผมว่าได้นางแบบมาให้แล้ว มันหามาให้ผมเร็วมากจนไม่น่าไว้ใจเลย กลัวจะไปหาเด็กๆ มาให้ผมถูกตำรวจจับเล่นนี่สิ ระหว่างนั่งรอมันซึ่งวันนี้คนเยอะ ผมจึงใช้เวลาที่อยู่หลังร้านมันวาดภาพที่ทิ้งไว้แต่ไม่ได้มาวาดต่อ เป็นภาพร่างดินสอแจกันดอกไม้ที่ผมใช้เวลาแค่วันเดียวก็เสร็จ แต่เนื่องจากเพราะไม่มีอารมณ์วาดภาพดินสอจึงทำได้เพียงปล่อยทิ้งไว้ “มาแล้ว”
“อือ นางแบบอายุน้อยไม่เอานะ”
“เออกูรู้” ไอ้โจ้นั่งลงบนโซฟาก่อนจะมองผมที่ผละใบหน้าจากกระดาษตรงหน้า “น้องอายุยี่สิบเอ็ด เรียนมหาลัยปีสี่”
“แล้ว?”
“น้องเป็นเพื่อนกับไอ้เหมย เห็นไอ้เหมยมันบอกว่าน้องกำลังหาเงินน่ะ ก็เลยเสนอไป”
“แล้วเหมยรู้ได้ไง?” ผมขมวดคิ้วทันทีที่เมื่อน้องสาวแท้ๆ ของไอ้โจ้รู้ว่าผมกำลังหานางแบบอยู่
“กูถามไอ้เหมยเองล่ะ เอาเป็นว่าลองดูก็ไม่เสียหาย” เพราะไอ้โจ้เป็นคนหาให้ผมจึงพยักหน้ารับ “กูให้ที่อยู่น้องเขาไปแล้ว คงจะไปพรุ่งนี้สายๆ มึงจำไอ้เหมยได้ใช่ปะ?”
“อือ” น้องสาวไอ้โจ้ที่ออกแนวนิ่งขรึม ผมเคยเจอกับน้องสาวมันซึ่งเป็นผู้หญิงที่เข้าถึงยากคนหนึ่งก็ว่าได้แถมยังชื่นชอบศิลปะวาดภาพด้วย ไอ้โจ้เคยเอาภาพผมไปโชว์ให้เหมยดู เด็กคนนั้นก็ดูจะชื่นชอบและติดตามผลงานของผมมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าจะสนิทสนมกับผมด้วยเพราะตัวเองก็เข้าหาคนไม่เก่ง
แต่ขอให้นางแบบคนนี้เป็นคนสุดท้ายที่ผมจะหาเถอะ... งานจะได้เสร็จก่อนจัดนิทรรศการที่วางแพลนไว้
เช้าวันรุ่งขึ้นได้เวลานัดผมจึงตื่นเช้าแต่โดยปกติก็ตื่นแบบนี้เสมอ ผมสั่งป้าสมให้ต้อนรับเหมยน้องสาวไอ้โจ้ด้วย เพราะผมจะอยู่ในห้องศิลปะของตัวเอง สิ่งที่ผมสั่งป้าสมไว้คือการพานางแบบไปเปลี่ยนชุดโดยแก้ผ้าเปลือยให้หมด แต่ทว่าผมให้ผ้าแพรสีขาวไม่บางมากให้เธอปกปิดเรือนร่างรอผมที่ห้อง เมื่อออกจากห้องศิลปะก็ปะทะเข้ากับร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งที่คุ้นตา ใบหน้าเฉยชาขลับกับผมสีดำยาวซึ่งรวบมวยไว้กลางศีรษะ เธอแต่งตัวด้วยชุดเอี๊ยมยีนกางเกงขายาวพร้อมกับเสื้อยืดสีดำ “สวัสดีค่ะพี่คัท”
“อือ” พยักหน้ารับก่อนจะมองเลยหลังเหมย “ไหนนางแบบ”
“เปลี่ยนชุดอยู่ค่ะ” ถ้าคิดว่าผมพูดน้อย บอกเลยว่าเหมยน้องไอ้โจ้ยิ่งกว่าผมนะ
“ให้เพื่อนไปรอพี่ในห้อง เดี๋ยวมา” เหมยพยักหน้ารับผมจึงเดินสวนเธอขึ้นไปบนห้องเพราะลืมหยิบมือถือลงมา ถ้าผมจะลงมือวาดภาพจะต้องฟังเพลงโปรดด้วย มาถึงหน้าห้องก็เห็นเหมยนั่งรออยู่ที่เก้าอี้แล้ว เธอกอดอกและชี้นิ้วเข้าไปด้านใน
“เพื่อนเหมยพร้อมแล้ว แต่พี่คัท...” มือที่กำลังจะผลักประตูเข้าไปชะงักจึงหันไปสบตากับเธอ “งานนี้ขอให้เพื่อนเหมยได้นะ อย่างน้อยก็สำคัญมาก”
“เพื่อนร้อนเงิน?” เลิกคิ้วขึ้นแต่เหมยกลับส่ายหน้าไปมา
“อย่างน้อยถ้ามาเป็นแบบให้พี่คัท อาจจะทำให้เพื่อนเหมยไม่ต้องกลับบ้านเร็ว” ไม่เข้าใจกับคำพูดของเธอ แต่ผมก็จะไม่ทำอย่างที่เธอขอ ถ้าหากเพื่อนของเธอไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ผมต้องการจะให้เป็น
ผมเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นร่างบอบบางนั่งอยู่บนโต๊ะตัวยาวกำลังหันหลังให้อยู่ จึงเดินไปหยุดที่หน้าขาตั้งกระดาษและดินสอในมือ อย่างน้อยการสำรวจเรือนร่างก็ต้องร่างมันขึ้นมาก่อน จะได้รู้กันว่าภายใต้แผ่นหลังขาวเนียนและเส้นผมสีดำตรงยาวกลางหลังเธอจะมีรูปร่างตรงตามที่ผมต้องการหรือเปล่า “หันมาทางฉัน”
สั่งเสียงเข้มและก้มหน้าเปิดเพลง Beautiful-Bazzi ซึ่งเป็นเพลงโปรดของผม จากนั้นวางมือถือลงบนโต๊ะและเงยหน้ามองนางแบบตรงหน้า...
ภาพตรงหน้าทำให้ผมถึงกับชะงักดินสอที่กำลังจะวาด ใบหน้าสวยซึ่งหาที่ติไม่ได้แม้แต่นิดกำลังจับจ้องผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่งแต่ทว่าแก้มทั้งสองก็ขึ้นรอยแดงนิดหน่อย ดวงตากลมโตของเธอราวกับมนต์สะกด ริมฝีปากชมพูนูนกัดเข้าหากัน พูดให้ถูกคือผู้หญิงตรงหน้าเธอมีความสมบูรณ์แบบบนเครื่องหน้ามาก และมันช่างเป็น... ธรรมชาติราวกับสิ่งนี้คือพระเจ้าตั้งใจปั้นมันขึ้นมาด้วยความรักและความใส่ใจ
สายตาของผมผละจากใบหน้าเธอไล่ลงมาถึงลำคอ ไหล่ หน้าอกที่เอ่อล้นออกมาเป็นก้อนสวยงาม แม้จะมีผ้าแพรสีขาวปกปิดจุดลับทั้งสองไว้ตามด้วยท่อนแขนของเธอที่พาดปิดมันไม่ให้ผมเห็น จึงเลื่อนมาถึงหน้าท้องแบนราบ เอวขอดรับกับสะโพกผายและเรียวขายาว ผมถึงได้เลื่อนสายตาไปมองสบตากับเธออีกครั้ง
Hey
Beautiful, beautiful, beautiful, beautiful angel
Love your imperfections every angle
Tomorrow comes and goes before you know
So I just had to let you know
จู่ๆ ท่อนเพลงที่ฟังอยู่ก็ทำให้ผมสะดุดและดึงสติของตัวเองกลับมา ไม่... เธอเป็นนางฟ้าแสนสวยที่มีความสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แบบในเนื้อเพลงที่ผมจะหลงใหลในความไม่สมบูรณ์แบบ
แต่เธอคนนี้... เป็นนางฟ้าที่สมบูรณ์แบบตรงตามที่ผมต้องการ
“คือ...” แม้แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมายังใสจนผมวางดินสอลง ไม่ได้! ไม่มีสมาธิแล้ว “ต้องเอาผ้าออกไหมคะ?”
“ไม่ต้อง” ตอบออกไปเพราะตอนนี้ผมไม่มีสมาธิที่จะมองเรือนร่างเต็มๆ ของเธอ สมองมันกำลังเตลิดไปหมด ให้ตายเหอะ! นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่รู้สึกว่านางแบบตรงหน้าทำให้ผมหวั่นไหวกับเรือนร่างที่แม้จะยังไม่เห็นแบบเต็มๆ
“แล้วฉันจะได้งานหรือเปล่าคะ?”
“เธอ” แม้จะรู้ว่าเธอสวยจนหาที่ติไม่ได้ แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี “ทำมาหรือเปล่า”