ห้า
แพ็กเกจหายนะ
จันทราข้างแรมส่องแสงบนผืนฟ้ายามราตรี มหานครหมอกอสูรเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งการหลับใหล
ทว่าเซียงรื่อกลับนอนไม่หลับ
ไม่สิ...ไม่ใช่แค่นอนไม่หลับ แต่ร่างกายของเธอยังร้อนรุ่มราวกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมีอาการหวิวๆ ราวกับขาดสิ่งสำคัญบางอย่าง ทำให้เธอกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
ผู้ที่นอนไม่หลับเริ่มบิดและพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่าย ผ้านวมที่เคยห่อคลุมร่างถูกเธอเตะออกไปจนหมด ความรู้สึกหงุดหงิดพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะนั้นราวกับโสตประสาทของเธอฉับไวกว่าปกติ ใบหูทรงสามเหลี่ยมบนศีรษะกระดิกอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจจากอีกฟากหนึ่งของเตียง
เซียงรื่อหันหน้าไปยังทิศทางดังกล่าว ภาพเงาร่างกำยำของบุรุษที่นอนหงายอย่างไร้เรี่ยวแรงกลับกระตุ้นสัญชาตญาณบางอย่างที่เก็บซ่อนอยู่ในตัวให้ปะทุขึ้นมา
ม่านตาของหญิงสาวขยายใหญ่ ขณะที่เจ้าตัวคลานเข่าเข้าไปหาฝูหมิงอย่างแช่มช้า พวงหางสีอ่อนกวัดแกว่งไปมาในความสลัว ก่อนจะหยุดลงหน้าเป้าหมาย
เธอไม่อาจหักห้ามความรู้สึกอยากสัมผัสอุณหภูมิร่างกายของผู้อื่น ราวกับเด็กน้อยที่โหยหาความอบอุ่นในค่ำคืนที่หิมะโปรยปราย
เซียงรื่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะเปรียบเทียบให้มันฟังดูโรแมนติกไปทำไม สมองของเธอดูจะเพี้ยนๆ ชอบกล ประหนึ่งคนเมาไม่มีผิด
ไวเท่าความคิด มือเรียวขาวที่สั่นน้อยๆ ก็เคลื่อนไปแตะลงตรงโคนขาของฝูหมิงอย่างแผ่วเบา
จอมมารฝูหมิงรูปร่างกำยำล่ำสัน ขนาดต้นขายังฟิตแน่นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มันทำให้เธออดจินตนาการไม่ได้ว่าตรงส่วนอื่นเองก็คงไม่ต่างกัน
อึก!
เซียงรื่อกลืนน้ำลายผ่านลำคอที่แห้งผาก หัวใจที่เต้นแรงส่งผลให้เลือดลมสูบฉีดขึ้นใบหน้า ทั้งดวงตาและพวงแก้มของเธอร้อนผ่าวราวกับจะเป็นไข้ไปด้วยอีกคน
ราวกับร่างกายนี้กำลังเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณดิบที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน การเคลื่อนไหวทุกอย่างเป็นไปได้โดยอยู่เหนือการควบคุมของจิตใจ
หญิงสาวโน้มใบหน้าเข้าหาผู้ที่หลับใหล จุมพิตแผ่วเบาลงที่ปลายจมูกโด่ง ร่างเล็กขึ้นคร่อมอยู่บนหน้าท้องซึ่งห่อทับด้วยผ้าพันแผล ปากที่เผยอออกเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่เล็งเป้าหมายไปยังใบหูที่โผล่พ้นเรือนผมสีรัตติกาล
“อือ...”
เสียงครางทุ้มต่ำที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา ปลุกเร้าให้ร่างเล็กยิ่งตื่นเต้น มือเล็กของเธอเริ่มปัดป่ายไปยังแผงอกกำยำและลูบคลำอย่างหนักหน่วง เธอเลิกขบเม้มใบหูของเขาแล้วจุมพิตไล่ลงมายังลำคอที่ร้อนจัด ลิ้นเล็กลากสะกิดเบาๆ ราวกับเด็กที่กำลังเลียไอศกรีมที่แสนอร่อย
ความร้อนจากอุณหภูมิร่างกายของเขาเรียกเสียงครางหวานแผ่วเบาจากริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ ครั้นเซียงรื่อผละใบหน้าออกห่าง นัยน์ตาที่เห่อร้อนก็มองสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดลออ
กล้ามแขนของฝูหมิงที่ไม่ได้ถูกปกปิดด้วยผ้าพันแผลดูสวยงามและแข็งแกร่งจากการฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ลูกกระเดือกที่นูนเด่นออกมาจากลำคอและไรหนวดบางๆ ซึ่งไม่ได้ผ่านการโกนมาพักหนึ่งส่งผลให้เขาดูเซ็กซี่ไม่เบา
เธอคิดพลางเลียกลีบปากของตนเอง ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงกระหน่ำถี่ด้วยความตื่นเต้น
ตึกตัก...ตึกตัก
ทันใดนั้นสายตาของเธอก็เริ่มลากต่ำลงเรื่อยๆ จนไปถึงขอบกางเกงสีทึมซึ่งมีคราบเปื้อนโลหิตแห้งกรัง
หญิงสาวระลึกได้ว่าเธอไม่ได้สั่งให้เด็กหนุ่มแฝดสามเปลี่ยนกางเกงให้เขา ถ้าปล่อยไว้แบบนี้รังแต่จะทำให้เตียงของเธอเลอะและเหม็น เธอไม่ชอบนอนเวลาที่เตียงมันสกปรกเสียด้วย
ไม่เป็นไรหรอก...ก็แค่ช่วยเขาเปลี่ยนกางเกง นอกจากจะทำให้ไม่สกปรกแล้ว มันยังถือเป็นการช่วยให้เขาสบายตัวขึ้นด้วย
เสียงที่ดังขึ้นในใจราวกับไม่ใช่เสียงของเธอแต่เป็นของคนอื่น ความรู้สึกปวดหน่วงที่ท้องน้อยส่งผลให้สีหน้าของเธอบิดเบี้ยวเล็กน้อย มือเล็กที่สั่นระริกตะปบลงตรงต้นขาก่อนจะเคลื่อนขึ้นไปแตะตรงผ้าที่มัดตรงขอบกางเกงสีทึมอย่างเชื่องช้า...
เพียะ!
เซียงรื่อเอามือตบแก้มตนเองอย่างแรง
นี่เธอทำบ้าอะไรลงไป! เธอคิดจะลักหลับผู้ชาย แถมผู้ชายที่ว่ายังเป็นลาสต์บอสที่ปักธงหายนะของเธออีกต่างหาก!
“เกือบไปแล้ว” หญิงสาวบ่นพึมพำ พวงแก้มที่เจ็บหนึบๆ ส่งผลให้สติที่พร่ามัวเมื่อก่อนหน้านี้กลับคืนมาอย่างช้าๆ เธอรีบกลิ้งตัวถอยร่นกลับไปชิดผนังห้องซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเตียงดังเดิม มือขยุ้มเรือนผมสีชมพูอ่อนของตนเอง “ร้ายกาจยิ่งนัก สัญชาตญาณดิบของเจ้าเมืองนี่...โคตรน่ากลัว”
หากมิใช่เกรงว่าจะมีคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกวิ่งพรวดเข้ามาข้างใน เซียงรื่อคงแหกปากตะโกนลั่นห้องไปแล้ว เธอใช้ชีวิตมายี่สิบสามปียังไม่เคยแต๊ะอั๋งกินเต้าหู้ผู้ชาย แต่คราวนี้เธอกำลังจะลักหลับบุรุษที่ป่วยอยู่!
“ฟู่...”
เซียงรื่อผ่อนลมหายใจพลางยกมือปิดหน้าด้วยความละอาย ทว่าต่อให้จิตสำนึกถูกปลุกขึ้นมาได้สำเร็จ ร่างกายอันไร้สำนึกนี่ก็ดูท่าจะไม่ยินยอมง่ายๆ ความแช่มชื้นเบาบางตรงจุดที่อ่อนไหวส่งผลให้เธอเสียดสีต้นขาเข้าด้วยกันอย่างลืมตัว ลมหายใจที่หอบถี่ต่างกับเสียงลมหายใจอีกคนหนึ่งที่หลับใหลอย่างสงบ
เจ้าตัวรีบดึงผ้านวมขึ้นมาคลุมโปงพลางงอตัวด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน สุดท้ายถึงขั้นต้องใช้วิธีคอยหยิกมือและแขนของตนเองอยู่แทบตลอดทั้งคืนเพื่อให้ประคองสติไว้ได้
...และกว่าเซียงรื่อจะรู้ตัวอีกที แสงอรุณของเช้าวันใหม่ก็แตะขอบฟ้าเสียแล้ว
ณ บริเวณชายป่าสนพิษ ต้นยามเหม่า[1]
ช่วงเวลาเช้ามืดของฤดูใบไม้ผลิอากาศค่อนข้างเย็น เหล่าบุรุษชุดดำจำนวนยี่สิบนายซึ่งมีผ้าคาดปกปิดใบหน้าขี่ม้าห้อตะบึงสร้างฝุ่นคลุ้ง ด้านหน้าสุดมีร่างสูงใหญ่ผิวสีน้ำผึ้งบนหลังสัตว์อสูรกวางสีดำสนิท เขาทั้งสองข้างเป็นเถาวัลย์ซึ่งมีบุปผาสีขาวแบ่งบานเป็นหย่อมๆ
ครั้นผู้ที่นำทางอยู่ด้านหน้ากระชากบังเ**ยนเพื่อให้สัตว์อสูรที่ใช้เป็นพาหนะหยุดเคลื่อนไหว กลุ่มคนที่ขี่อาชาไล่หลังก็หยุดตาม สายตาของพวกเขากวาดมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ก่อนที่ความสนใจทั้งหมดจะเพ่งกลับไปทางหัวหน้าของพวกเขาอีกครั้ง
รุ่ยคุนตวัดขาลงจากสัตว์อสูรของตน เรือนผมสีชาเกล้าสูงเป็นทรงหางม้า เผยใบหน้าเกลี้ยงเกลาเปื้อนยิ้มของบุรุษวัยยี่สิบหกปี
หากชายหนุ่มเดินเตริดเตร่อยู่ตามท้องถนนก็คงถูกผู้คนมองว่าเป็นจอมยุทธ์ที่หน้าตาดีคนหนึ่ง หารู้ไม่ว่าภายใต้ฉากหน้าที่ดูเป็นมิตรไม่มีพิษไม่มีภัยนี้จะซุกซ่อนอสรพิษที่ร้ายกาจเอาไว้
รุ่ยคุน ผู้นำตระกูลรุ่ยคนปัจจุบันซึ่งปกครองดูแลกิจการสีเทาที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นหยาง ตลาดมืดและสินค้าผิดกฎหมายต่างๆ ล้วนอยู่ในกำมือของบุรุษผู้นี้ทั้งสิ้น!
“พวกเจ้าบอกว่าเขาหายตัวไปแถบนี้?”
เสียงนุ่มทุ้มของบุรุษผิวสีน้ำผึ้งถึงสติของพวกเขากลับมา “ขอรับ ท่านหัวหน้า”
“กว่าจะมีโอกาสดีๆ แบบนี้นั้นหาได้ไม่ง่าย...” รุ่ยคุนเอามือลูบคางพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างสำรวจ
ป่าสนพิษแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของอาณาเขตแคว้นหยาง ขึ้นชื่อเรื่องสัตว์อสูรและพืชที่มีพิษร้ายแรง หลายปีที่ผ่านมาลูกน้องที่ถูกส่งมาเก็บของในป่าสนพิษมักจะรอดกลับไปไม่ถึงสี่ส่วน
แต่ในเมื่อยังไม่พบศพ...ก็มีโอกาสที่เป้าหมายของเขาจะยังมีชีวิตอยู่
ฝูหมิง ประมุขพรรคมังกรดำซึ่งตั้งอยู่ในป่าทมิฬในแคว้นหยินแต่แผ่ขยายอิทธิพลมาถึงแคว้นหยาง จอมมารอันดับหนึ่งในยุทธภพที่นับวันก็ยิ่งคุกคามและแย่งผลประโยชน์ของตระกูลรุ่ย เป็นเสี้ยนหนามสำคัญที่ก่อกวนขุมเงินขุมทองที่ต้นตระกูลของเขาพากเพียรปูทางมานับแต่อดีต
เมื่อเร็วๆ นี้ เครือข่ายตระกูลรุ่ยสืบรู้จุดอ่อนที่สำคัญของตระกูลฝูหลังจากการจับตาดูมาอย่างยาวนานถึงเจ็ดปี จอมมารอันดับหนึ่งที่มีพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งและมีการฟื้นฟูร่างกายที่รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อกลับอ่อนแอเมื่อสัมผัสโดนไข่มุกราตรี
ไข่มุกราตรีนี้เป็นสิ่งที่ใช้กำราบสัตว์อสูรให้อ่อนแรงและไม่สามารถใช้พลังไร้รูป ครั้นรุ่ยคุนค้นคว้าประวัติความเป็นมาของสกุลฝูและนำมาประกอบเข้าด้วยกัน เขาก็สันนิษฐานได้ว่าพลังของตระกูลฝูคงมีความเกี่ยวข้องกับสัตว์อสูร ด้วยเส้นผมสีเงินขาวที่ผิดแผกจากมนุษย์ทั่วไปทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาคงมีสายเลือดของสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่ในร่าง
สัตว์อสูรจะต้องจำศีลทุกๆ สิบสองปี และในปีนี้ที่ฝูหมิงอายุครบยี่สิบสี่ปีบริบูรณ์...ภายในพรรคมังกรดำก็มีการประกาศออกมาว่าประมุขของพวกเขาจะกักตัวเพื่อฝึกยุทธ์ เป็นจังหวะที่ประจวบเหมาะเกินกว่าจะมองข้ามไปได้
แต่ต่อให้เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพียงไร รุ่ยคุนก็ไม่คิดจะปล่อยให้มือของตนเองต้องเปื้อนเลือด เขาส่งกลุ่มมือสังหารไปลองเชิงเพื่อดูลาดเลา นึกไม่ถึงว่าจะเกิดการต่อสู้พัวพันกันอย่างยาวนานหลายวันจนกระทั่งมาถึงที่ป่าสนพิษแห่งนี้
“เจ้าบอกว่าฝูหมิงที่พวกเจ้าพบมีผมสีดำและไม่มีพลังไร้รูป?”
[1] ยามเหม่า คือเวลาประมาณ 05.00 – 06.59 น.