“หมายความว่าเจ้าจะเชื่อฟังข้าทุกอย่าง?”
“เจ้าก็รู้ว่าไม่มีทาง” มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้จะเป็นทาสของเจ้าแต่ต้องการขอความร่วมมือ ความสัมพันธ์ของพวกเราคือการแลกเปลี่ยน หากสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าทำมันสมเหตุสมผลมากพอ ข้าก็คงไม่ปฏิเสธ ในทางกลับกัน หากเจ้าคิดจะใช้ประโยชน์จากข้าเพียงฝ่ายเดียว...ข้าก็ไม่ใช่วัวที่จะถูกจูงจมูกเอาง่ายๆ”
ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่สายตาของเขาจะเบนไปยังต้นไม้เขียวสดที่อยู่ด้านข้าง มองสัตว์อสูรจำพวกผีเสื้อและแมลงต่างๆ กำลังดมดอมบุปผาที่แบ่งบานด้วยแววตาอ่านยาก “สิ่งที่เจ้าควรทำในฐานะเจ้าเมืองมีอยู่สามอย่าง”
เซียงรื่อลอบกลืนน้ำลาย “ควรทำอะไรบ้าง”
“ข้อแรกคือหน้าที่ของผู้สืบทอดของเทพอสูรกระรอกหยกชมพู...”
“ข้าไม่รู้วิธีการใช้พลังไร้รูป” เธอตอบ “เจ้าสอนข้าได้หรือไม่”
“หึๆๆ” อีกฝ่ายเอามือกอดอกพลางหันกลับมาสบตาหญิงสาว “เจ้าถามถูกคนแล้ว ในมหานครแห่งนี้ไม่มีผู้ใดเก่งกาจเรื่องการใช้พลังรูปไปมากกว่าข้า หากข้าบอกว่าตัวเองเป็นที่สอง...ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกตัวเองว่าที่หนึ่ง!”
“โอ้...” เซียงรื่อแสร้งปรบมือด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดีเต็มที่ นี่แหละคือสิ่งที่นางต้องการ การเรียนรู้การใช้พลังเพื่อไปรักษาชีวิตของฝูหมิงและแฝดสามสกุลกู้ “ยอดเยี่ยมๆ เช่นนั้นสอนตอนนี้เลยได้หรือไม่”
“ไม่ได้ วันนี้ข้ามีงานที่ต้องไปทำต่อ ข้าจะสอนเจ้าพรุ่งนี้แทน”
ผู้ฟังทำปากยื่นเล็กน้อย เรื่องนี้เธอจะสอบถามผู้อื่นก็ไม่ได้เพราะจะทำให้พวกเขาระแวงสงสัย อาการของฝูหมิงน่าจะทรงตัวตามเนื้อเรื่อง ดังนั้นถ้าเป็นพรุ่งนี้...ก็ไม่น่ามีปัญหา
“ได้ ข้ารับปาก แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน หลังจากดวงตะวันตกดิน เจ้าห้ามมารบกวนข้าเป็นอันขาด”
“แล้วหากมีเรื่องเร่งด่วน?”
“เจ้ามาพบข้าได้ แต่ถ้าได้ฟังเรื่องที่ว่าแล้วพบว่ามันไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เจ้าต้องชดเชยให้ข้า”
“ชดเชยอย่างไร”
“เงิน” เธอตอบทันที “เงินส่วนตัวของข้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับคลังของเมือง”
อวิ๋นซูขมวดคิ้ว เขานึกไม่ถึงว่าเซียงรื่อจะเรียกร้องค่าชดเชยเป็นเงินตรา
ในเมืองแห่งนี้ผู้คนนิยมใช้การแลกเปลี่ยนสินค้าหรือแรงงานมากกว่าใช้ตัวเงินซึ่งเป็นหน่วยแลกเปลี่ยนของโลกภายนอก เหตุผลที่หญิงสาวเรียกร้องเช่นนี้อาจเป็นความเคยชินเมื่อครั้นยังเป็นมนุษย์ หรือไม่ก็เพราะว่านาง...วางแผนที่จะไปจากที่นี่
แววตาของชายหนุ่มเข้มขึ้นอีกเฉด ก่อนจะเก็บซ่อนความคิดของตนเองไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยแล้วพยักหน้ารับ “ได้ ข้ารับปาก”
“ดี แล้วข้อสองเล่า”
“ทำหน้าที่ของท่านเจ้าเมืองให้ดี”
“เจ้าหมายถึงงานบริหารน่ะหรือ” เซียงรื่อถามเพื่อความมั่นใจ
ในเนื้อเรื่องไม่เคยมีการพูดถึงการทำงานของท่านเจ้าเมืองเพราะนางเป็นบุคคลประเภทที่คอยผลักภาระและความรับผิดชอบให้แก่ผู้อื่น วันๆ เอาแต่หมกหมุ่นเสพสมอยู่กับทาสรูปงามที่จับตัวมา
“ใช่ แต่ข้าต้องใช้เวลาเตรียมการสักสามสี่วัน”
ผู้ฟังถึงกับเอียงคอ “เวลาเตรียมการ?”
ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองน่ารักเป็นทุนเดิม เมื่อไม่มีแววตาหยิ่งยโสและกลิ่นอายของสตรีเจ้าอารมณ์ ท่าทางดังกล่าวจึงน่ารักเสียจนหัวใจของอวิ๋นซูแทบหยุดเต้น
ใบหูสีชมพูอ่อนที่กระดิกและพวงหางพองฟูที่ขยับตั้งขึ้นมาช่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ ต่อให้เพื่อนสมัยเด็กของเขาจะตายไปแล้วก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ประติมากรรมชั้นเลิศยังคงอยู่...ก็ไม่มีสิ่งใดที่น่ากังวลทั้งนั้น
“อวิ๋นซู”
อวิ๋นซูได้สติกลับมาก็กระแอมไอหนึ่งที พอเดาออกว่าเซียงรื่อต้องการเจรจาต่อ “รอบนี้เจ้าอยากได้ข้อแลกเปลี่ยนเป็นอะไรอีก”
“วันหยุด”
บุรุษผู้มีสายเลือดเทพอสูรอีกาสามตาถึงกับเลิกคิ้ว “หืม?”
“ข้าจะทำงานสามวันและพักสี่วัน ” เธอฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี “จากที่ข้าได้ยินมา ก่อนหน้านี้ท่านเจ้าเมืองไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับงานบริหารบ้านเมือง แค่ข้าเข้าไปทำงานก็ถือว่าสะดุดตามากแล้ว ดังนั้นข้าไม่ควรทำงานหนักจนเกินไป เจ้าเองก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะคิดไม่ได้มิใช่หรือ”
เซียงรื่อได้ยินเสียงจิ๊จะในลำคอจากผู้ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม เธอมาอยู่ในร่างของท่านเจ้าเมืองโดยไม่เต็มใจ เรื่องอันใดต้องทำงานหนักทั้งที่ปกติงานนี้มีผู้อื่นคอยดูแล้วอยู่แล้ว
“ได้” อวิ๋นซูขมกรามตอบ ทว่าไม่นานหลังจากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาอีกหน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงพร้อมที่จะรับฟังเงื่อนไขข้อที่สามแล้วใช่หรือไม่”
หญิงสาวขมวดคิ้วเพราะสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล สัญชาตญาณของสัตว์ในร่างของท่านเจ้าเมืองคล้ายกำลังส่งเสียงกรีดร้องออกมา
“พูดมา”
“รีบสร้างทายาท”
คำพูดของอวิ๋นซูทำให้ดวงตาคู่งามมีแววสับสนวาดผ่าน
ไม่...เธอคงหูฝาดจึงฟังผิดเพี้ยนไปเองแน่ๆ
ผู้คิดหัวเราะรวนให้กับการฟังที่มีปัญหาของตนเอง
“อ้อ...สำหรับเจ้ามันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ เซียงรื่อ เจ้าเป็นนางคณิกามาก่อนเองหรอกหรือ” ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ มองสีหน้าของเซียงรื่อที่เปลี่ยนไปทีละน้อย
ไม่ว่าที่ผ่านมาท่านเจ้าเมืองจะเป็นคนประเภทไหน แต่เธอก็ไม่เคยมีความตั้งใจที่จะเป็นแม่พันธุ์เพื่อตอบสนองความต้องการของคนอื่น! ไม่มีวัน!
เธอรู้ดีว่าที่อวิ๋นซูกล่าวเช่นนี้เพราะตั้งใจจะทำให้เธอโกรธ และเขาก็ทำมันสำเร็จลุล่วงได้อย่างไร้ที่ติ
เขาน่าจะเอาดีทางด้านนี้ แต่หากทำบ่อยๆ คงถูกใครบางคนเฉือนทิ้งให้ตายข้างถนนเข้าสักวัน
เหตุผลที่อวิ๋นซูเลือกที่จะพูดแบบนี้คงเป็นเพราะเธอไม่มีอำนาจในการต่อรอง เปรียบเสมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบที่ไร้พรรคพวก ทว่า...เขาคิดผิดไปอย่างหนึ่ง
ต่อให้เธอเป็นแค่ไม้จิ้มฟัน...แต่เธอจะเป็นไม้จิ้มฟันคงกระพันที่งัดกับท่อนซุงอย่างเขาให้ดู!
“อวิ๋นซู” เซียงรื่อเค้นยิ้มพลางหยีตาเพื่อไม่ให้เขาจับอารมณ์ของเธอได้
“เรียกข้าทำไม”
“ยื่นหน้ามาใกล้ๆ หน่อย ข้ามีอะไรจะบอก”
อวิ๋นซูส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยอมทำตามที่เธอบอก เซียงรื่อรอจนกระทั่งใบหน้าขาวซีดยื่นเข้ามาใกล้ในระยะที่พอดีก็ชิงลงมืออย่างรวดเร็ว!
จึก!!
“แอ๊กกก!!” ชายหนุ่มเจ้าของผมสีดำหยักศกร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ถูกนิ้วชี้กับนิ้วกลางจิ้มเข้าที่ดวงตาทั้งสองเข้าอย่างจัง!
เซียงรื่อกลั้นขำจนไหล่สั่นเทิ้ม
เขาร้องว่า ‘แอ๊กกก’ งั้นเหรอ? ช่างเป็นคำร้องที่น่าเอ็นดูต่างจากนิสัยของเจ้าตัวลิบลับ จะว่าไปแล้วก็ฟังดูคล้ายเสียงอีกาเวลาตกใจอยู่เหมือนกัน
“เจ้า...เจ้ากล้าทิ่มตาข้า! เจ้ามันบ้าไปแล้ว!” อวิ๋นซูที่ดวงตาแดงก่ำและมีน้ำตาไหลอาบแก้มถลึงมองเธออย่างเคียดแค้น
ถ้าคิดจะต่อกรกับคนบ้า เธอก็ต้องทำตัวให้บ้าบิ่นยิ่งกว่า!
“เจ้าต่างหากที่ประสาท! ข้าไม่มีวันเข้าร่วมโครงการแม่วัวแม่พันธุ์กับเจ้าหรอกนะ! ฝันไปเถิด!”
“ร่างกายของท่านเจ้าเมืองอายุสิบเก้าแล้ว ยามนี้เหมาะที่จะผสมพันธุ์และออกลูกมากที่สุด หากข้ามช่วงวัยยี่สิบไป...ผลผลิตที่ออกมาก็อาจไม่มีประสิทธิภาพมากพอ มหานครหมอกอสูรต้องการผู้นำที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบ”
“ไม่มีอะไรในโลกที่สมบูรณ์แบบ” เซียงรื่อหยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วประจันหน้ากับเขา “แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ด้วย”
อวิ๋นซูฟังแล้วอารมณ์เสียยิ่งนัก “นั่นไม่ใช่หน้าที่เจ้าที่ต้องมาสอนข้า!”
หญิงสาวกลอกตา มาถึงขั้นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องเหตุผลมาคุยกันอีกต่อไปแล้ว
“หากเจ้าคิดจะบังคับข้าล่ะก็ ข้าจะฆ่าตัวตาย!”
“เจ้ากล้า!”
เซียงรื่อโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ผิวขาวอมชมพูย้อมสีแดงก่ำ ขณะที่ดวงตาสีม่วงสวยถลึงมองเขาอย่างแข็งกร้าว “ข้าเคยตายมาแล้วหนหนึ่ง หากเจ้าไม่เชื่อ...ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าดูเสียประเดี๋ยวนี้เลยดีไหม!”
ร่างเล็กของท่านเจ้าเมืองหยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูง มือเล็กกำหมัดทุบลงบนโต๊ะเบื้องหน้า
ปัง!
อวิ๋นซูซึ่งจับได้ว่าเธอไม่ใช่ท่านเจ้าเมืองตัวจริงคงคิดว่าเขาเป็นผู้ชนะและมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรกับเธอก็ได้ ทว่าการที่เขาสารภาพความคลั่งไคล้ที่มีต่อเทพอสูรกระรอกชมพูก็เท่ากับหงายไพ่จุดอ่อนของตัวเองออกมา ดังนั้นในเกมนี้...เธอต่างหากที่เป็นผู้กุมชัยชนะในท้ายที่สุด!
นายไม่มีสิทธิ์มาบังคับอะไรฉันทั้งนั้น!
ในหมู่สัตว์อสูร ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชนะ แม้สกุลเซียงกับสกุลอวิ๋นจะสืบเชื้อสายมาจากเทพอสูรเหมือนกัน ทว่าระดับพลังของเทพอสูรกระรอกหยกชมพูนั้นสูงกว่าอยู่หลายเท่า
พลังของสัตว์อสูรแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ไล่จากสูงมาต่ำคือ เทพอสูร จอมอสูร ภูตอสูรและสัตว์อสูร ข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่บรรยายไว้ในการ์ตูนชุดพิเศษ เนื่องจากมีการกล่าวถึงบรรพบุรุษของตระกูลฝู...ตระกูลของฝูหมิงกับน้องสาวที่เป็นนางร้ายซึ่งสืบทอดสายเลือดมาจากเทพอสูร
ว่ากันว่ามีเฉพาะเทพอสูรเท่านั้นที่สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่บางครั้ง...จอมอสูรเองก็สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้เป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงมีมนุษย์หลายคนในมหานครแห่งนี้ที่มีสายเลือดของจอมอสูรซึ่งมีพลังต่ำกว่าไหลเวียนอยู่ในร่าง
ดวงตาสีม่วงวาวโรจน์ของหญิงสาวราวกับมีประกายแสงบางอย่างสว่างวาบขึ้นมาจากภายใน ร่างกายของอวิ๋นซูเห็นเช่นนั้นก็เริ่มตอบสนองตามสัญชาตญาณ สองมือของเขาสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
แม้วิญญาณในร่างนี้จะไม่ใช่ท่านเจ้าเมือง ทว่านางกลับสามารถดึงเอาความสามารถทางสายเลือดของเทพอสูรออกมาได้มากกว่าเจ้าของร่างที่แท้จริง...กลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมานั้นช่างแข็งกร้าว มันทำให้เขาชื่นชมและหวาดหวั่นจนขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว
อา...วิเศษยิ่งนัก พลังของท่านเทพอสูรกระรอกหยกชมพู
เขาจะปล่อยให้สิ่งล้ำค่าเช่นนี้ต้องสูญหายไปได้อย่างไร เขาจะปล่อยให้นางฆ่าตัวตายได้อย่างไร!
“ยะ...อย่า!” ผู้ที่ทะนงในศักดิ์ศรีชนิดที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครถึงกับร้องห้ามเสียงหลง “ข้ายอมแล้ว”
ในเมื่ออีกฝ่ายยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง ผู้ที่แสดงความแข็งกร้าวออกมาจึงมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย ดวงตาที่เคยเรืองแสงแวววาวกลับคืนสู่ปกติ เช่นเดียวกับสีหน้าและน้ำเสียงของเธอ
“เป็นอันว่าข้อเสนอที่สามถือเป็นโมฆะ” เซียงรื่อเว้นจังหวะพลางถอนหายใจ “พรุ่งนี้เจ้ามีนัดหมายจะสอนการใช้พลังไร้รูปให้ข้า หากพร้อมเมื่อไรก็เรียกให้คนมาแจ้งข้าก็แล้วกัน”
เจ้าของเรือนผมสีชมพูกล่าวจบก็ตั้งใจว่าจะมุ่งหน้ากลับไปพักผ่อน ศีรษะของเธอปวดตุบๆ เกรงว่าหากฝืนอยู่นานกว่านี้คงได้เป็นโรคประสาทขึ้นมาจริงๆ
สุขภาพจิตส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ต้องรักษาสุขภาพจิตให้ดีเข้าไว้
เซียงรื่อหมุนกายหันหลังพร้อมกับโบกมือร่ำลา ทว่าครั้นเดินจากไปเพียงไม่กี่ก้าว เสียงเรียกทางด้านหลังก็เอ่ยรั้งขึ้นเสียก่อน
“เซียงรื่อ”
ผู้เป็นเจ้าของชื่อผินใบหน้ากลับมา ประกายบางอย่างในแววตาของเธอส่งผลให้ขนกายของอวิ๋นซูลุกชันขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้บังคับเจ้านะ” เขารีบเอ่ยเพราะกลัวว่าเซียงรื่อจะพูดเรื่องการทำร้ายร่างกายของท่านเจ้าเมืองขึ้นมาอีก “ข้าเพียงแค่อยากเตือนเจ้าไว้ก็เท่านั้น”
แม้รูปประโยคจะฟังดูเหมือนห่วงใย ทว่าน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความจริงใจย่อมกระตุ้นต่อมหงุดหงิดของเธอได้ไม่ยาก “อยากพูดอะไรก็รีบพูด อย่าทำให้ข้าเสียเวลา”
“เจ้าหยุดสัญชาตญาณในร่างกายของท่านเจ้าเมืองไม่ได้หรอก”
“...”
“ช่วงแรกๆ เจ้าอาจพอข่มกลั้นมันได้ แต่ในระยะยาว เจ้าอดทนไม่ได้แน่”
“นั่นมันก็เรื่องของข้า” เซียงรื่อตอบเสียงเรียบ ดวงตาหรี่มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “อวิ๋นซู ต่อให้ข้าต้องลำบากแค่ไหน ข้าก็จะไม่มีวันเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเจ้าเด็ดขาด!”
“หึ! แล้วข้าจะคอยดู”
ดวงตาสีแดงโลหิตจับจ้องแผ่นหลังของหญิงสาวที่มุ่งห่างออกไปเรื่อยๆ จวบจนกระทั่งอีกฝ่ายหายลับไปจากสายตา ร่างของคนผู้หนึ่งจึงเดินผ่านประตูของหอเปี่ยมมิตรเข้ามาด้านใน
อวิ๋นซูลุกออกจากเก้าอี้พลางเดินไปเด็ดยอดอ่อนของพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้มือ
“คอยจับตาดูท่านเจ้าเมืองให้ดีแล้วคอยรายงานให้ข้าทราบ” เขากล่าวโดยไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“เจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงตอบรับจากหญิงสาว ชายหนุ่มก็เบนสายตาไปมองนางเล็กน้อย
“แล้วนั่น คอเจ้าไปโดยอะไรมา”
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะคุณชาย มันเป็นฝีมือทาสคนล่าสุดของท่านเจ้าเมือง แม้เขาจะมีบาดแผลเต็มตัว...ทว่าพละกำลังนั้นแข็งแกร่งมาก” หญิงสาวค้อมศีรษะตอบ
ทาสคนใหม่กับท่านเจ้าเมืองคนใหม่...
อวิ๋นซูเหยียดยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าผ่านหลังคาโปร่งเหนือศีรษะ
เพื่อนสมัยเด็กของเขาตายไปอย่างกะทันหันโดยที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะร่ำลา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เก็บงำในใจมานาน สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยต่อหน้า นี่สินะที่เขาว่ากันว่าสรรพสิ่งล้วนไม่จีรัง
เซียงรื่อ... หวังว่าวิญญาณของเจ้าจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุขเสียที
ความรู้สึกสูญเสียที่เล่นงานเข้าอย่างจังส่งผลให้ขอบตาของอวิ๋นซูร้อนผ่าว ทว่าชายหนุ่มก็เลือกที่จะซุกซ่อนมันโดยการปิดเปลือกตาลงเสีย
“หลังจากนี้...คงมีเรื่องสนุกๆ ให้ชมอีกมากทีเดียว”