บทที่ 14

1479 Words
ระหว่างที่คุณหมอชี้แจงอาการเจ็บของตรีศูลอยู่นั้น ใครจะรู้ว่ามีผู้หญิงอีกคนที่ยืนฟังอาการของคนเจ็บอย่างใจจดใจจ่อ เธอทั้งเป็นห่วง ทั้งรู้สึกผิด และภาวนาขออย่าให้ลูกเลี้ยงต้องเป็นอะไรไปเลย เพราะถึงแม้จะไม่ลงรอยกันขนาดไหน แต่นั่นก็ไม่ได้ถึงกับโกรธเกลียด จนอยากให้ใครชิงตายไปต่อหน้าต่อตา “แต่อาการที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ของคนไข้ก็คือเศษกระจกที่กระเด็นเข้าตาทั้งสองข้าง ถึงหมอจะผ่าตัดเอาเศษแก้วออกแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าการมองเห็นของคนไข้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย” เป็นอีกครั้งที่ปริตรเข้าไปจับแขนของคุณหมอไว้จนมั่น “ไม่ได้นะครับคุณหมอ ต่อให้ต้องเสียเงินเท่าไรผมก็ยอม คุณหมอจะต้องรักษาลูกผมให้หายนะครับ... นะครับหมอ” “พ่อครับ ปล่อยคุณหมอก่อน” ปริตรหันมาคุยกับลูกชายด้วยน้ำตาที่เริ่มอาบแก้มสากอีกครั้ง “ไม่ได้นะสี่ พี่แกคงยอมตายซะดีกว่าถ้ารู้ว่าตัวเองตาบอด” ปานภูมิดึงคนเป็นพ่อเข้ามากอดไว้ เขาเองก็น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่ได้เนื่องมาจากความสะเทือนใจทั้งหมด “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ หมอจะบอกว่าในเคสของคนไข้ค่อนข้างโชคดี ที่เศษกระจกไม่ได้ไปโดนม่านตาหรือลูกตาโดยตรง แต่บริเวณเยื่อบุตาอาจจะได้รับผลกระทบมากหน่อย อาจจะเกิดอาการช้ำและบวมจนในระยะแรกไม่สามารถรับแสงได้ แต่ถ้าผ่านไปสักเดือนรอจนอาการบวมหายสนิทแล้ว ถ้าการมองเห็นของคนไข้ยังไม่กลับสู่สภาวะปกติ เรายังสามารถผ่าตัดได้อีกครั้ง ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่จะหายมีสูงมากนะครับคุณพ่อ” ปริญญ์ยิ้มทั้งที่น้ำเปรอะแก้ม “เรายังมีหวังจริงๆ ใช่มั้ยครับหมอ” คนเป็นหมอพยักหน้าและยิ้มรับเพื่อยืนยันคำพูดของตน “ตอนนี้แค่จะขอความร่วมมือจากญาติผู้ป่วยว่าอย่าเพิ่งตระหนกตกใจไป เพราะอาจจะทำให้คนไข้เสียขวัญได้ เราต้องช่วยกันให้กำลังใจ ดูแลคนไข้ทั้งทางร่างกายและจิตใจควบคู่กันไปครับ” คุณหมอเดินจากไปพร้อมกับเปิดฉากให้เห็นคนที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างหลัง “ยายลักษณ์ ! หนูมาได้ยังไงลูก” “ลักษณ์มาสักพักแล้วค่ะคุณลุง ได้ยินอาการของคุณตรีแล้ว ลักษณ์... ลักษณ์เชื่อว่าคุณตรีต้องหาย” เจ้าของเสียงที่สั่นเพราะความตกใจยังพยายามให้กำลังใจตัวเองและคนอื่นๆ ไปด้วย “นุชโทร เรียกแกมาเองค่ะ” นุชนารถบอกเสียงขึ้นจมูกได้แค่นั้นก่อนที่จะโผเข้าหาลูกสาว ร้องไห้อย่างหนักเหมือนคนเสียขวัญ ถึงไม่ได้มีใครว่ากล่าวแม่ของเธอให้ได้ยิน แต่นารถลักษณ์ก็รู้ถึงความอัดอั้นตันใจและรู้สึกผิดของท่านว่ามีมากล้นเพียงใด แม่คงกลัวว่าคุณตรีจะเป็นอะไรไป เพราะความคัดคานเอาชนะของท่าน จากที่ฟังเสียงของแม่ตอนโทรไปเรียกเธอมา รวมถึงได้รับฟังเรื่องราวหลังจากวันนั้นคร่าวๆ ถึงได้รู้ว่ามันเกิดเรื่องขึ้นอีก เรื่องที่เป็นฉนวนเหตุในความวุ่นวายและเรื่องน่าใจหายในวันนี้... นารถลักษณ์กลับบ้านไปพร้อมๆ กับสมาชิกทุกคนในธีรการณ์ เพราะคุณลุงอยากให้เธอมาอยู่เป็นเพื่อนมารดาในช่วงนี้ก่อน ความฝันจากดวงดาว... ความเจ็บปวดจากอะไรสักอย่างที่กดทับเวลาที่เขาขยับตัว ทำให้รู้สึกไม่สะดวกและไร้เรี่ยวแรงไปซะเฉยๆ และอยู่ๆ ความมืดที่รายล้อมก็คล้ายจะมีแสงสว่างวาบกระจ่างขึ้นมา มีดาวดวงเล็กๆ ส่องประกายระยิบระยับ สายลมเย็นพัดผ่านผิวหน้าให้เย็นฉ่ำชื่นใจ และในวินาทีนั้นแสงที่เห็นก็จางดับลง ปรากฏร่างของผู้หญิงแสนสวยคนหนึ่งส่งยิ้มหวานมาให้ ผมที่ดำขลับยาวระเรื่อยถึงกลางหลังยังคงเหมือนภาพจำในวันวานที่อยู่ในความทรงจำของเขาไม่เคยเปลี่ยน “มะ...แม่ แม่ครับ” ผู้หญิงคนนั้นยังคงยิ้มรับ ยิ้มที่แสนใจดี ยิ้มที่ลูกๆ ทุกคนไม่มีวันลืมได้ “ตรีไปอยู่กับแม่ได้มั้ย” เขายังคงละล่ำละลักบอก ทั้งที่ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองฝันไปใช่หรือเปล่า “ตรีจะทิ้งพ่อเหรอลูก ถ้าแม่เอาตรีไป ใครจะอยู่กับพ่อ” แม้แต่เสียงของแม่ ก็ยังหวานกังวาน ฟังกี่ครั้งก็ชื่นใจสงบเหมือนแช่อยู่ในสายน้ำเย็นฉ่ำ “พ่อเขาไม่ต้องการพวกเราแล้ว” “ตรีก็รู้ว่าพ่อรักตรีมาก เลิกโกรธพ่อเขาไม่ได้เหรอลูก” “ผมไม่เชื่ออีกแล้ว ไม่มีใครรักตรีเท่าแม่อีกแล้ว ใครๆ ก็พากันไปเข้าข้างยายแม่เลี้ยงกันหมด” สาวสวยในชุดกระโปรงสีขาวส่ายหน้าไปมาช้าๆ “ไม่ใช่เลยลูก ทุกคนแค่ต้องการให้ตรีก้าวต่อไป อย่ายึดติดกับแม่เลย แม่จากมาแล้ว ลูกๆ ต่างหากที่ยังอยู่ แม่จะยืนมองอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ไม่ว่าลูกๆ จะสุขหรือทุกข์ แต่อย่าเอาแม่มาเป็นเงื่อนไขในชีวิตเลยนะตรี” ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างไม่ยอมเชื่อในความรักของพ่ออีกแล้ว “ฟังแม่นะลูก ถึงชีวิตจะต้องเจอเรื่องราวที่เรารับมือไม่ไหว แต่สิ่งเหล่านี้มันจะสอนให้ลูกแข็งแกร่งขึ้น เพื่อต่อไปลูกจะได้เจอกับวันคืนดีๆ ของชีวิต และไม่ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก ลูกจะอยู่กับมันได้อย่างมั่นคง” “สุดท้ายแม่ก็จะทิ้งผมให้อยู่คนเดียวอีกครั้ง” คราวนี้คนที่ถูกเรียกว่าแม่ยิ้มกว้างขึ้นกว่าครั้งไหนๆ “ลูกกำลังจะได้เจอคนที่สำคัญที่สุด รอหน่อยนะตรี อีกไม่นานลูกจะรู้ เขาจะเข้ามาเติมเต็มทุกอย่างให้ลูก ทั้งความรักความห่วงใย ความสุข รักษาเขาไว้ให้ดีๆ นะลูก อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือไป” “แม่” “หมดเวลาของแม่แล้ว แม่ต้องไปแล้วนะเด็กดี” เสียงของแม่ค่อยๆ ลอยจากไป เขาไขว่คว้าเอื้อมหาจนสุดมือก็รั้งตัวแม่ไว้ไม่ได้ ต่อให้ร้องตะโกนจนสุดเสียงแต่แม่ก็ไม่ยอมกลับมาอีกแล้ว... “ตรี... ตรี.... ตื่นลูก” ปริตรพยายามยื้อยุดเมื่อเข้ามาเห็นคนป่วยตะเกียกตะกายจนเกือบจะตกเตียงอยู่รอมร่อ ตรีศูลสลัดหัวแรงๆ เมื่อความมืดมิดเริ่มเข้ามาแทนที่ในความรู้สึกอีกครั้ง และเสียงของพ่อก็ดังอยู่ใกล้ๆ หู เพียงแต่เขายังมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง “ที่นี่ที่ไหน” “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่โรงพยาบาลนะตรี จำได้บ้างมั้ยว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น” ปริญญ์เป็นคนตอบคำถามของน้องชาย “เมื่อคืนผมรถคว่ำ แล้วทำไมผมถึงมองอะไรไม่เห็นเลยล่ะพี่” “ตาลูกได้รับการกระทบกระเทือนนิดหน่อยน่ะตรี หมอเลยขอพันผ้าไว้เพราะกลัวโดนแสง สักพักคงเอาออกได้นะลูก รำคาญหรือเปล่า” “พ่อมาทำไม” ตรีศูลรู้ว่านั่นคือเสียงของพ่อ “โธ่ ตรี...” นุชนารถยืนกุมมือลูกสาวแน่น แม้มองอาการคนป่วยอยู่ห่างๆ แต่ก็ได้ยินทุกอย่างดี โดยเฉพาะเสียงแหบระโหยของผู้เป็นสามี “จะไปเที่ยวไม่ใช่เหรอครับ หรือว่ากลับมาแล้วครับ ถึงได้มีเวลามาดูว่าผมตายสมใจหรือยัง” “คุณตรีคะ น้าขอโทษ นะ... น้าไม่น่าดึงดันที่จะพาคุณพ่อคุณไปต่างประเทศเมื่อวานเลย ถ้าน้ายอมเชื่อคุณโตและคุณตรี เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น” นุชนารถเอ่ยขอโทษตะกุกตะกัก โดยมีลูกสาวยืนพยักหน้าเป็นกำลังใจอยู่ใกล้ๆ “ออกไป” “ตรี...” “ผมบอกให้ออกไปให้หมด !” คนเจ็บตะโกนเสียงดังฟังชัด แต่เมื่อยังไม่ได้ยินสียงฝีเท้าของใคร หรือแม้แต่เสียงเปิดประตู เขาจึงหมดความอดทนและเริ่มกวาดข้าวของที่อยู่ใกล้ตัวลงพื้น เสียงระเนระนาดของสิ่งของที่ตกแตก ทำให้ปริญญ์รีบเข้าไปดึงตัวคณานางค์ออกมาก่อน เพราะหญิงสาวอยู่ใกล้บริเวณนั้นที่สุด ทุกคนเริ่มถอยห่างแต่ยังไม่มีใครออกไปตามคำประกาศกร้าวของคนที่กำลังอาละวาดอยู่ จนเห็นว่าคนป่วยกำลังจะดึงสายน้ำเกลือออกนั่นแหละ “พวกเราจะออกไปแล้วตรี หยุดก่อน อย่าทำแบบนี้นะลูก มันอันตราย” ปริญญ์มองพ่อเขาน้ำตาไหล เสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นเครือเจือสะอื้นในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือดูแลความรู้สึกของพ่อเอาไว้ก่อน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD