บทที่ 3

1467 Words
“เหอะ ดีแต่ปากน่ะสิไม่ว่า พ่อยังไม่เห็นแกมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที มีแต่เปลี่ยนหน้าไปเปลี่ยนหน้ามา ระวังเถอะโรคมันจะถามหาเอา” “โธ่ พ่ออะ เข้าเรื่องนี้อีกจนได้ ผมไม่คุยด้วยแล้วดีกว่า” ลูกชายคนที่สามของบ้านลุกขึ้นไปรื้ออะไรสักอย่างขยุกขยิกอยู่ที่ลิ้นชักหน้าจอทีวีขนาดมหึมา ก่อนที่จะหันมายิ้มแฉ่ง “พี่บุ๋มบิ๋ม เปิดเกมแผ่นใหม่ให้หนูหน่อยดิ” พร้อมกับยื่นแผ่นเกมที่ว่าให้พี่เลี้ยง “วะ ฮ้า ฮ้า ฮ้า” เสียงหัวเราะดังไปสามบ้านแปดบ้านนี้เป็นเสียงของลูกชายคนเล็ก “ผมละขำเวลาพี่สี่แทนตัวเองว่าหนูจริงๆ เลิกเหอะขอร้อง ได้ยินทีไร น้ำตาลในเลือดขึ้นทุกที” “ไอ้บ้าเล็ก ก็มันติดนี่หว่า ถ้าแกยังไม่เลิกกรีดร้องซะที ฉันนี่แหละจะหนุมานถวายแหวนแกเอง” ปริตรอดขำกับท่าหนุมานถวายแหวนของเป็นบุตรไม่ได้ เขาเข้าใจดีว่าเป็นบุตรสนิทสนมกับพี่เลี้ยงมากกว่าใคร เพราะเขาให้บุ๋มบิ๋มคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกทั้งสี่ทุกเรื่อง และศิลปะหลายๆ แขนงก็ได้พี่เลี้ยงคนนี้นี่แหละที่คอยสั่งสอนมา อดีตของสตรีเหล็กนางนี้เคยเป็นทหารชายแดนเก่าอยู่หลายปี ก่อนที่จะผันตัวเองมารับจ้างเป็นบอดี้การ์ดให้เขา และเพิ่งจะค้นพบตัวเองเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ว่ามีใจรักสวยรักงามยิ่งกว่าสิ่งใด แต่พักหลังมานี้เขาเห็นพี่เลี้ยงลูกชายคอยแต่จะสอนร้อยพวงมาลัย เย็บปักถักร้อยซะเป็นส่วนใหญ่ ลูกๆ เขาเลยสลายตัวไปตามระเบียบ “เจ้าเล็ก เห็นพี่เราบ้างมั้ย” “พ่อหมายถึงพี่โต หรือพี่ตรีล่ะครับ” “ทั้งสองคนนั่นแหละ” “โน่น มาพอดีเลยครับ” ปานภูมิบุ้ยใบ้หน้าไปทางบันไดวนของบ้าน “พ่อถามหาผมเหรอครับ” ปริญญ์ถาม “ใช่ พอดีพ่อมีเรื่องจะไหว้วานเราหน่อยน่ะ เย็นนี้ไม่ไปไหนใช่มั้ยเจ้าโต” “ครับ” เขาตอบไป หยิบคุกกี้ของพ่อกินไปด้วย “งั้นช่วยไปบ้านลุงคิด เพื่อนพ่อให้หน่อย จำได้หรือเปล่าบ้านที่เราไปตอนเด็กๆ บ่อยๆ น่ะ อ้อ เมื่อต้นปี พ่อก็พาแกไปด้วยอยู่ครั้งนึงนี่ ลืมหรือยัง” “จำได้ครับ คุณลุงสมคิดเพื่อนพ่อคนที่ใจดีๆ คนนั้น” เขาจะลืมได้ยังไง... “เออ นั่นแหละ” “พ่อนัดคุณลุงไว้หรือครับ” “เปล่า พ่อจะให้แกไปรับหนูคะน้ามากินข้าวที่บ้านน่ะ ทางนั้นเขารู้แล้ว พ่อโทรไปบอกตั้งแต่เมื่อวาน” “ให้คนอื่นไปไม่ได้เหรอครับ” เขาหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ จานขนมทั้งหมดที่มีอยู่ “ไม่ได้” “พ่อนึกยังไงถึงชวนเขามากินข้าวที่บ้านเรา” “เออน่า พามาก่อน เดี๋ยวคืนนี้แหละพ่อจะเล่าให้ฟัง” พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วเขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ ปริญญ์ลูกชายคนโตของเขาเป็นเหมือนหนึ่งในความหวังทั้งหมดของธีรการณ์ ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีสักครั้งที่ลูกคนนี้จะทำอะไรไม่ได้ดังใจ ทั้งเรื่องเรียนหรือเรื่องงาน แต่บางครั้งมันก็ดีมากเกินไป จนไม่มีเวลามาคิดและสนใจเรื่องของตัวเองเลย ปีนี้ลูกชายคนโตอายุอานามปาเข้าไปสามสิบหกแล้ว แต่เขายังไม่เห็นทีท่าว่าเจ้านี่จะชอบพอใคร หรือพาสาวที่ไหนมาแนะนำให้รู้จักบ้าง ยิ่งไม่ต้องหวังเรื่องที่เขาอยากจะอุ้มหลาน ขนาดตอนที่เขามีลูกคนแรกยังอายุแค่ยี่สิบห้าเท่านั้น ไม่รู้ทำไมเจ้าโตมันถึงไม่ได้เชื้อพ่อไปบ้าง เขาจึงตัดสินใจที่จะหาเมียให้ลูกเอง... “ยิ้มแบบนี้ ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเลยนะพ่อ” ตรีศูลที่แวะเล่นกับสุนัขตัวโตหน้าบ้านทักขึ้นอย่างรู้ทันคนเป็นเป็นพ่อ เมื่อเขาเสร็จธุระกับเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวโปรดและเดินเข้ามาสมทบกับคนอื่นๆ ก็เห็นคนแก่ที่หน้าละอ่อนพอกับลูกๆ นั่งอมยิ้มหน้าระรื่นอยู่ก่อนแล้ว “มาก็ดีเลยเจ้าตรี เดี๋ยวไปรับยายลักษณ์มากินข้าวกับพ่อหน่อยนะวันนี้” “ขอร้องอย่ามายุ่งกับผม” ตรีศูลบอกอย่างเย็นชา “ไปรับน้องแค่นี้ทำอย่างกับจะเป็นจะตาย” “พ่อก็รู้ว่าผมไม่ชอบขี้หน้าสองแม่ลูกนั่น” เขาหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชาย “พี่โตนั่นแหละ ไปรับยายนั่นให้หน่อย” “ไปได้ที่ไหนล่ะ พ่อใช้ให้ฉันไปทำธุระให้ แกนั่นแหละไปรับน้องหน่อย ขืนให้เจ้าสี่กับเจ้าเล็กไปรับ มีหวังยายลักษณ์หัวใจวายตายก่อนพอดี เจ้าสองคนนี้มันขับรถอย่างกับจะเหาะ” ปริญญ์พูดสิ่งที่เป็นมาตลอด โดยลืมนึกไปว่ามันอาจจะจุดประกายความคิดบางอย่างให้กับอีกคน ตรีศูลยกยิ้มมุมปากทบทวนในสิ่งที่พี่ชายพูด ไม่รู้เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงว่านารถลักษณ์เป็นคนที่กลัวความเร็วมาก เพราะเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่ครั้งหนึ่งตอนเรียนมัธยม ทำให้ทุกวันนี้ยังไม่กล้าที่จะขับรถเลย ทั้งที่พ่อเขาเสนอจะซื้อรถให้ตั้งหลายครั้งหลายหน เพราะไม่อยากให้เจ้าหล่อนต้องลำบากโหนรถเมล์ “แล้วนั่นจะรีบไปไหนฮึเจ้าตรี” “ก็พ่อให้ผมไปรับนารถลักษณ์ไม่ใช่เหรอครับ” ตรีศูลเดินตัวปลิวออกไปแล้ว ก่อนที่ใครจะทันได้ถามหรือเอะใจอะไรขึ้นมาซะก่อน ภายในรถที่เงียบสนิทมาพักใหญ่หลังจากเคลื่อนตัวออกจากบ้านริมน้ำเมืองนนท์ คนที่ไม่คิดจะประวิงเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์อีกแล้วก็เปิดประเด็น “นี่ ยายกาฝาก ฉันขอยื่นคำขาดเป็นครั้งสุดท้ายให้เธอล้มเลิกความตั้งใจที่คิดจะไปป่วนบริษัทพ่อฉันซะ” “ลักษณ์ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ” เธอบอกเสียงอ่อน เพราะวันนี้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวยังไงชอบกล จึงไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนพาลให้ปวดหัวหนักกว่าเดิม “ถ้าพูดดีๆ แล้วไม่ยอมฟังก็จงรู้ไว้ว่าต่อไปเธอจะต้องเจอกับอะไรบ้าง” เขาหันมาข่มขวัญเบาๆ “ที่เงียบนี่เพราะเถียงในใจอยู่รึไง” ตรีศูลยังไม่เลิกหาเรื่อง เพราะรู้สึกเหมือนว่าวันนี้คู่กัดที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำจะพูดจาน้อยเป็นพิเศษ ถึงหลายปีให้หลังมานี้นารถลักษณ์และเขาแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลย เพราะหญิงสาวต้องเรียนหนัก และพ่อของเขาก็ต้องไปต่างประเทศกับแม่เลี้ยงบ่อยๆ ด้วยมีธุรกิจหลายอย่างอยู่ที่นั่น ทำให้นารถลักษณ์ไม่ค่อยได้ไปที่บ้านนัก แต่พอเจ้าหล่อนเรียนจบ และพ่อเขาเริ่มได้กลับบ้านมากขึ้นเท่านั้นแหละ การพบเจอของเขาและนารถลักษณ์จึงเลี่ยงได้ยาก “จะคิดยังไงก็แล้วแต่คุณตรีเถอะค่ะ ลักษณ์เพลียขอนอนก่อนนะคะ ถ้าถึงบ้านรบกวนปลุกด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ” ตรีศูลอดฮึดฮัด ฟึดฟัดไม่ได้ ถึงแม้เธอจะพูดด้วย แต่ก็เป็นการพูดแบบรัวๆ เร็วๆ เพื่อหวังรวบรัดตัดบทซะมากกว่า “ฉันไม่ใช่คนขับรถ เธอไม่มีสิทธิ์มาหลับทั้งๆ ที่ฉันต้องขับรถอยู่อย่างนี้” เขารู้ว่าเธอฟังอยู่ แต่เพราะเธอไม่ตอบโต้ เขาเลยยิ่งโมโห “ได้ จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย ถ้ายังหลับลงก็เชิญ” นารถลักษณ์เพิ่งรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็เมื่อตอนที่รับรู้ถึงอัตราเร่งของรถที่นั่งอยู่ พอลืมตาขึ้นมองก็เห็นเขาขับรถออกนอกเส้นทาง ซึ่งเป็นถนนโล่งๆ ที่ในตอนนี้ไม่ค่อยจะมีผู้คนใช้ถนนเส้นนี้นัก เพราะมันเป็นเส้นออกต่างจังหวัดที่อ้อมโลกมากถ้าจะวกกลับเข้ากรุงเทพฯ “คุณตรีทำอะไร หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เขาสัมผัสได้ว่าเสียงเจ้าหล่อนสั่น ช่างน่าสะใจซะจริงๆ เขาเลยยิ่งเร่งความเร็วของรถให้แรงเข้าไปอีก “อยากนอนนักไม่ใช่หรือไง จะรีบตื่นขึ้นมาทำไมล่ะ ยังไม่ถึงบ้านเลยนี่” “คะ... คุณตรี หยุดเถอะนะคะ” เขาทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของหญิงสาว นั่นคือยิ่งเร่งความเร็วเข้าไปอีก เร็วขึ้น และเร็วขึ้นอย่างคึกคะนอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD