ตอนที่ 4.แสงสว่างและกำลังใจ

1549 Words
ตอนที่ 4.แสงสว่างและกำลังใจ “ไอ้ลุค หิวยัง?” เมฆาตะโกนลั่น เขาไม่ชอบบรรยากาศอึมครึมแบบนี้เลย ลุคผงกศีรษะมอง เขาฝืนยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก ยัยเด็กนี่อุตส่าห์หิ้วมาให้ ถ้านายไม่กินเดี๋ยวยัยเด็กนี่ร้องไห้นะ” ลุคมองเลยไปด้านหลังเมฆา เด็กหญิงยืนแอบอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเล็กๆ โผล่มาแค่ครึ่งเดียว เขากดยิ้มมุมปาก ความหดหู่ในใจลดลงเกินกว่าครึ่ง “พี่ชายผอมลงเยอะเลยค่ะ” ฉันพูดเสียงแผ่วๆ “พี่กินอะไรไม่ลงน่ะ เอาอะไรมาฝากพี่เหรอคะ” เมฆาตวัดตาเหมือนจะค้อน “วันนี้แม่ทำต้มยำไก่ค่ะ พี่น่าจะกินได้” ฉันวิ่งแซงหน้าพี่ชายไป พลางยิ้มประจบเขา “อืม” ลุคพยักหน้ารับ มองเด็กหญิงที่วิ่งวุ่นไปทั่วบ้านเพื่อหาจานชามสำหรับให้เขาได้ใส่อาหาร “ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหม อย่าตามใจยัยเด็กนั่นนัก หากรวมนายด้วยอีกคน ตอนนี้มีคนถือหางเด็กนั่นสามคนแล้วนะ” เมฆาอดบ่นไม่ได้ เขาไม่เข้าใจเลย ทำไมทุกคนให้ความสำคัญกับน้องสาวตนเองนัก นอกจากขี้แย อ่อนแอแล้วไม่เห็นมีอะไรดี “รสาเอาน้ำเย็นมาด้วย พี่ชายหิวมั้ยคะ” ฉันวิ่งหน้าตั้งหอบจานมาวางไว้แล้วก็ชวนคุย “ทำไมอยู่มืดๆ ไม่เปิดไฟละ” เสียงพี่ชายฉันบ่นแล้วก็ลุกจากที่นั่งเดินไปที่สวิตซ์ไฟ “ไม่ต้องเปิดหรอก ไฟโดนตัดน่ะ” ลุคเปรยลอยๆ เมฆาชะงัก “แล้วก็อยู่แบบมืดๆ แบบนี้เหรอ กลางคืนไม่ร้อนแย่เหรอวะ” ลุคส่ายหน้า ตักอาหารมื้อแรกในรอบสองวันใส่ปาก เขาพยายามเคี้ยวช้าๆ แล้วค่อยๆ กลืน เขาหิวนะ แต่กลืนอะไรไม่ลงจริงๆ แต่เมื่อเด็กหญิงข้างบ้านมองตาแป๋วแบบนี้ ลุคกลับรู้สึกว่าการกินที่ยากแสนเข็นง่ายกว่าเก่าเยอะ “คืนนี้ไปนอนที่บ้านฉันดีกว่า อย่าอยู่มืดๆ แบบนี้เลย” “ไม่ละ เกรงใจ” ลุคปฏิเสธ เขาชินแล้วกับการนอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืด “ไปเถอะ พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยกับนายด้วย” เมฆาคะยั้นคะยอ ท่าทางเรื่องขายบ้านของลุค น่าจะมีใครสักคนสนใจ และยอมรับข้อเสนอของลุคได้ “อืม” ลุคครางรับแล้วก็ตักข้าวใส่ปากต่อ “อร่อยมั้ยคะ” ฉันถามพี่ชายแล้วก็ยิ้มหวาน “อือ...” ฉันยิ้มแก้มปริ ดีใจที่พี่ชายคนใหม่ไม่ซึมเซาเหมือนเก่า “มีกระเป๋าไหม เดี๋ยวเก็บเสื้อผ้าให้” เมฆาถาม แล้วก็ลุกขึ้นยืน ก่อนที่แสงจะหมด เขาควรจัดการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นคงต้องคลำเอา “รสาปิดหน้าต่างประตูให้นะคะ” ฉันอาสา แล้วก็วิ่งฉิวไปที่บานหน้าต่างที่เปิดไว้ โดยไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านอนุญาต ลุคฉวยปิ่นโตกับจานชามใช้แล้วเดินไปหลังบ้าน เขาไม่ได้ใช้ครัวมานาน ด้านหลังมีกะลามังที่มีน้ำเต็ม เขาใช้ฟองน้ำกวาดเศษอาหารทิ้งแล้วก็ล้างจานนั่นด้วยน้ำสะอาดอย่างเดียว “น้ำก็โดนตัดด้วยเหรอวะ” เมฆาเดินมาหยุดด้านหลัง “อือ” ลุคครางรับ รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมาหน่อยๆ “อีกไม่นานอะไรๆ คงดีขึ้นแหละ ไม่ต้องกังวลไป พ่อแม่ฉันหาทางช่วยนายอยู่” พอสิ้นบุญแม่ ญาติสนิทก็เริ่มตีตัวออกห่าง บิดาที่น่าจะช่วยได้ก็ขาดการติดต่อ ยิ่งทำให้ลุครู้สึกเหมือนดิ่งลงเหวมากขึ้น เขาพยายามอดทนและรอ แต่เหมือนว่าสิ่งที่เขารอจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย “ฉันว่าจะไม่เรียนต่อแล้ว” ลุคเปรยลอยๆ “ไม่ได้สิ จำไม่ได้เหรอ แม่นายสั่งไว้ว่าไง” เมฆาท้วงเสียงหลง “ฉันเหนื่อย” ลุคพึมพำตอบ “สู้หน่อยเถอะ พอผ่านช่วงนี้ไปได้ นายไม่มีทางเสียใจแน่ๆ” เมฆาให้กำลังใจ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หากลุคทิ้งกลางครัน วันหน้าเขาต้องรู้สึกเสียดายแน่ๆ “...” ไม่มีคำตอบจากคนที่นั่งก้มหน้า “ไปเถอะ คืนนี้น่าจะมีทางออกสำหรับนาย อย่าพึ่งตีตนไปก่อนไข้สิวะ” เมฆาเดินมารั้งข้อมือลุค เขายืดตัวยืน อิดออดเล็กน้อย “ฉันไม่อยากรบกวนครอบครัวนายเลย” ลุคพึมพำ ภาระของเขามันหนักเกินกว่าที่จะอาศัยใบบุญคนที่ไม่ใช่แม้แต่ญาติสนิท แค่เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้สนิทอะไรมากมาย เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ทันครบเทอม แต่ครอบครัวของเพื่อนคนนี้ มีน้ำใจมากกว่าคนที่มีนามสกุลเดียวกับมารดาตนเองเสียอีก “ไม่เรียกรบกวน เป็นแค่ความหวังดี” เมฆาอธิบายซ้ำ เพื่อนร่วมโลกกำลังตกที่นั่งลำบาก ในเมื่อช่วยได้ทำไมเมฆาจะไม่ยื่นมือไปช่วยละ อย่างน้อยวันหน้าเขาก็จะมีเพื่อนแท้ที่หวังดีต่อกันเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน “รอให้เรียนจบ นายจะสนองบุญคุณฉันให้เต็มคราบ ฉันก็จะไม่ขัดสักคำ” “อืม” ลุคพยักหน้า “ใกล้ค่ำแล้ว รีบไปกันเถอะค่ะ” ฉันเดินตัวเอียงมาเรียกพี่ชายทั้งสองคน “แบกจะไม่ไหวแล้ว ส่งมาสิ ฉันจะช่วย” พี่ชายฉันแบมือและรั้งกระเป๋าใบใหญ่ที่ฉันสะพายจนไหล่ลู่ไปถือไว้เสียเอง ฉันย่นจมูกใส่ วิ่งนำหน้าเพราะกลัวว่าแม้แต่ปิ่นโตเถาเปล่าๆ นี่ก็จะไม่มีใครให้ฉันถือ ฉันวางปิ่นโตไว้ที่ตะกร้าจักรยานและเร่งปั่นหน้าตั้งนำไปก่อน มีพี่ชายและพี่ชายคนใหม่เดินตามมาห่างๆ “แม่ คืนนี้ลุคนอนที่นี่นะครับ” เมฆาตะโกนบอกมารดา ครามโผล่หน้ามามอง “กินอะไรกันหรือยัง?” “ตัวจุ้นหอบไปให้กินจนอิ่มแปล้แล้วครับพ่อ” เสียงพี่ฉันตะโกนตอบ ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่ เห็นพี่ชายยกมือไหว้พ่อฉันพอดี ครามกวักมือเรียก เมฆากับลุคเดินตรงไปหา สีหน้าทั้งสามคนเคร่งเครียดจนต่อมอยากรู้ฉันสั่นระริก แต่... “ไม่ใช่เรื่องของเด็ก รสาห้ามไปแอบฟังเชียวนะ” แม่ฉันส่งเสียงปรามไว้ก่อน ฉันเดินลากขาเข้าไปในบ้าน อดชำเลืองมองไปทางทิศที่พ่อและพี่ชายทั้งสองคนคุยกันบ่อยๆ ไม่ได้ ฉันพยายามเดา แต่ไม่แน่ใจว่าจะเดาถูกไหม เลยเปลี่ยนใจไปตะล่อมถามแม่แทน “แม่ขา พี่ลุคเขาจะไม่เรียนต่อค่ะ” ฉันกระซิบบอกแม่ แม่ละมือจากงานที่ทำอยู่หันมามองฉัน “ได้ยินเองหรือว่าพี่เมฆพูดให้ฟัง” ฉันยกมือป้องปาก “รสาแอบฟังค่ะ” แม่ย่นหัวคิ้ว ยืดตัวยืนตรง “ไม่หรอก พี่เขามีปัญหาอยู่ เลยเครียดมั้ง รสาก็อย่าไปกวนพี่เขานักนะ” ฉันย่นจมูก เท่าที่จำได้ฉันไม่เคยไปกวนใจพี่ชายคนใหม่เลย ฉันขี้เกียจฟังพี่ชายแท้ๆ ของฉันค่อนแคะ เลยทำได้แค่แอบดูอยู่ห่างๆ “น่าเสียดายแย่เลยหากลุคจะไม่เรียนต่อ” เสียงแม่พึมพำ ฉันเม้มปาก เดินกลับขึ้นไปบนห้อง ฉันคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนใจพี่ชาย หลังจากนอนมองเพดานอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง สมองเล็กๆ ของฉันคิดอะไรบางอย่างออก ฉันเหลือบมองพื้นที่ว่างเปล่าของออมสินที่เก็บหอมรอมริบมาหลายปีเต็ม เงินก้อนนั้นฉันยกให้พี่ชายคนใหม่ตั้งแต่ตอนงานศพของแม่เขาแล้ว ฉันไม่มีเงินเก็บที่ไหนอีกแล้วนี่นา ฉันเบิกตาโต กระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ฉันลืมไปได้ยังไงฉันซ่อนสตางค์เอาไว้ ฉันมีเงินก้อนใหญ่เชียวแหละ และฉันซ่อนมันเอาไว้ พ่อแอบให้ฉัน วันที่เราย้ายมาอยู่ที่นี่วันแรก “ขวัญถุง รสาเก็บเอาไว้นะลูก” พ่อกระซิบบอก แล้วก็แสร้งตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนที่แม่มองมา ฉันซ่อนเงินก้อนนั้นจนเกือบลืม มานึกขึ้นได้ก็ในเวลาที่สำคัญจริงๆ เข้าพอดี แก๊ะลับในตู้เสื้อผ้า สถานที่ที่ฉันซุกเงินก้อนนั้นเอาไว้ ฉันควานหากุญแจที่โต๊ะอ่านหนังสือ แล้วก็จัดการไขกุญแจเพื่อหยิบเงินก้อนนั้นออกมา “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ” ฉันเบิกตาโต พ่อแอบจิ๊กเงินแม่มาให้ฉันแน่ๆ เงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิตฉัน แต่หากพี่ชายมีความจำเป็นต้องใช้ ฉันก็ไม่รู้สึกเสียดายสักนิด ฉันยัดสตางค์ใส่ซองเล็กๆ และแอบซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ คงต้องหาจังหวะเหมาะ และแอบให้พี่ชายตอนที่ทุกคนในบ้านเผลอ ฉันรู้ พี่ชายไม่มีทางยอมรับง่ายๆ เขาหยิ่งในศักดิ์ศรีจะตายไป แต่ฉันก็เตรียมคำพูดไว้แล้ว และฉันก็แน่ใจด้วยว่าพี่ชายจะยอมฟังสิ่งที่ฉันพูด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD