บทที่ 3 นี่หรือคือโจรภูเขา?

1417 Words
                จินฉิงอีหัวเราะคิกคักเมื่อซ่งฮุ่ยจูหยิบเอาห่อของส่วนตัวที่นางนำมาด้วยเพียงห่อเดียวขึ้นมาเปิดดู “เจ้าค้นระวังด้วยล่ะ ในนั้นล้วนเป็นของพี่วั่งซู”                 “ท่านเข้าไปขโมยของในห้องคุณชายอีกแล้ว”                 “พี่วั่งซูไม่อยู่ป้องกันเอง ช่วยไม่ได้ ข้าใช้วิชาตัวเบาขั้นสูงทีเดียวกว่าจะหยิบเอาของพวกนี้มาได้” นางเชิดหน้าภาคภูมิใจ เรือนของจินวั่งซูวางกลไกไว้พิสดารนัก เขากับจวิ้นอ๋องหมิงเฉินกงมักจะค้นคว้าพวกอาวุธลับหรือสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ ด้วยกันเป็นประจำ ล่าสุดตอนที่นางแอบเข้าไปขโมยของพวกนี้ก็เห็นอาวุธลับสี่แฉกวางอยู่บนตู้ ยังไม่มีเวลาพิจารณาก็ต้องรีบออกมาก่อนที่ฝ้าเพดานจะปล่อยควันพิษออกมาเสียก่อน ถ้าจะว่าไปพี่ชายที่เป็นจวิ้นอ๋องของนาง มีของพิสดารกว่าพี่วั่งซูหลายร้อยเท่า เพียงแต่เขาซ่อนเอาไว้ในห้องใต้ดินที่วังปีกอินทรี เดินทางคราวนี้เห็นทีพี่ชายจะขนเอาอาวุธลับและเอาเหยี่ยวตัวนั้นออกมาด้วยเป็นแน่ นางเคยตามพี่วั่งซูไปวังของจวิ้นอ๋อง ด้านหลังมีเรือนลับซ่อนอยู่ในสวน ในเรือนนั้นเลี้ยงเหยี่ยวไว้หลายตัว หนึ่งในนั้นเป็นเหยี่ยวตาสีฟ้า จวิ้นอ๋องปล่อยมันออกไปสักหนึ่งเค่อมันก็กลับมาพร้อมจดหมาย ‘น่าอัศจรรย์เสียจริงเทียว ไม่ใช่พิราบสื่อสาร แต่เป็นเหยี่ยวสื่อสาร’ จินฉิงอีคิดไว้ว่า นางจะขอเหยี่ยวจากจวิ้นอ๋องสักตัวหนึ่ง เมื่อนางมีเรือนที่มีอาณาเขตกว้างๆ เป็นของตนเอง ซ่งอุ่ยจูหยิบดูอาวุธแต่ละอย่างที่นางหยิบมา “ขลุ่ยปล่อยเข็มพิษ พัดซ่อนมีดสั้น กระบี่รัดเอว ถุงปล่อยควันพิษ พวกนี้พอไหว ที่ของที่เหลือข้าว่า คุณหนูเก็บไว้ในหีบที่รถม้านี่เถอะ” ข้าวของที่คุณหนูของนางขโมยมา ล้วนแล้วเป็นของรักของคุณชายจินทั้งสิ้น นางเคยได้ยินคุณชายเล่าด้วยความภาคภูมิใจในการไปท่องเที่ยวเสาะหาแต่ละสิ่งมา ซึ่งล้วนเป็นของช่างฝีมือดีในยุทธภพ “อ๊ะ! ล่าสุดพี่วั่งซูได้พัดสีขาวดำมาใหม่นี่นา ด้ามนั้นข้ายังไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มีดีที่ตรงไหน?” “คุณหนูรีบเก็บของไว้กับตัวก่อนเถอะ บางอย่างอาจได้ใช้” ซ่งฮุ่ยจูรีบดึงผ้าคาดเอวของนางออกมา เอาเข็มและด้ายมาเย็บที่ซ่อนกระบี่ให้คุณหนู ส่วนขลุ่ยก็กำชับให้นางถือไว้ ส่วนถุงปล่อยควันพิษเล็กๆ สามารถพกพาไว้ในอกเสื้อได้ “แล้วพัดข้าเล่า?” “ท่านจะถือทุกอย่างได้อย่างไร? เดี๋ยวข้าใช้พัดเอง” “เช่นนั้นก็ดี” เมื่อตกลงเรื่องอาวุธแล้ว ซ่งฮุ่ยจูก็เก็บของที่เหลือลงในหีบและล็อคกุญแจเรียบร้อย “หากเรามีเหตุให้ต้องทิ้งรถม้า อย่างน้อยก็คงไม่มีใครเอาของไปได้ง่ายๆ   บนทางผ่านหุบเขามังกรทะยานแห่งนี้ มีชุมโจรที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนัก เพราะมีจำนวนคนและอาวุธไม่มาก ครั้นเห็นขบวนค้าข้าวที่มีสำนักคุ้มภัยใหญ่ตามมาดูแลด้วยจึงจำยอมปล่อยผ่าน “เสียดายนัก นั่นน่าจะเป็นข้าวสารกับเกลือจำนวนมาก พ่อค้ารายนี้อาจจะเป็นคหบดีใหญ่แคว้นหมิง” เจ้าหัวหน้าที่หนวดเครารุงรังมองแล้วถอนหายใจเฮือกๆ หันไปมองดูจำนวนลูกน้องตนเองเพียงหกคน ซ้ำเพิ่งมีดาบเพียงสี่คน อีกสองคนยังถือเสียมก็นึกท้อแท้ใจ “ลูกพี่ ดูนั่น รถม้ามาคันเดียว เช่นนี้เราน่าจะพอปล้นได้” “มืดค่ำทำไมจึงไม่จอดหลับนอน กลับเดินทางข้ามเขาที่มีป่าทึบรอบข้าง ไม่แปลกไปหน่อยหรือ?” ลูกน้องที่เคยไปรับจ้างทำงานในเมือง ดูแล้วรู้สึกไม่สบายใจ หากคนพวกนี้ไม่ใช่คนที่จะปล้นได้ง่ายๆ พวกเขาที่วิทยายุทธแค่พอกวัดแกว่งดาบจะข่มขู่ผู้เคราะห์ร้ายอย่างไรไหว? “ถ้าเจ้าคิดมาก เจ้าไม่ได้ปล้นแล้ว ลงมาเถอะ” คนเป็นหัวหน้ารีบตัดสินใจ สองวันมานี้ไม่มีผู้ผ่านมาสักราย หากปล้นได้วันนี้จะหยุดไปสักสามสี่วัน ไปหาซื้อผ้าห่มให้มารดา ความจริงป่าแถบนี้อุดมสมบูรณ์ยิ่ง แต่เป็นเพราะพวกเขาด้อยฝีมือในการล่าสัตว์ จึงต้องคอยเก็บสมุนไพรไปขาย และดักปล้นเป็นบางครั้ง “หยุด! มีทรัพย์สินอันใด ส่งมาให้หมด!” เสียงตะโกนก้องช่องเขา ร่างหนุ่มฉกรรจ์เก้าคนรายล้อมรถม้า ซ่งเหวินฉีตะโกนดังกว่านั้น “คุณหนู ฮุ่ยจู มีโจรป่า” เสียงอันกึกก้องของชายหนุ่ม  ทำเอาเหล่าโจรแทบเข่าอ่อน ซ่งเหวินฉีคว้าดาบทะยานลิ่วไปถึงหัวหน้าโจร ประดาบเพียงสามเพลง หรือจะว่าไป ฝ่ายนั้นแค่ส่ายดาบสะเปะสะปะเท่านั้น “ถ้าไม่อยากให้หัวหน้าพวกเจ้าตาย วางดาบเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดนั้นทำเอาชายที่เหลือวิ่งหายไปในความมืด ทิ้งดาบและเสียมไว้ให้ทั้งสามมองอย่างพิศวง “อย่าฆ่าข้าเลย พวกข้าทำไปเพราะจำเป็น” “เจ้าหรือคือ โจรภูเขา ข้ายังไม่ได้ทันได้ชมการประลองเลยสักนิด” จินฉิงอีก้าวออกจากรถม้าอย่างผิดหวัง เมื่อสักครู่ที่นางได้ยินเสียงซ่งเหวินฉีตะโกน นางอุตส่าห์แอบแง้มผ้าบังช่องข้างรถม้าด้วยใจระทึก มิคาดว่าแค่ซ่งเหวินฉีกระโจนไปเพียงครั้งเดียวก็พาดดาบลงบนคออีกฝ่ายได้ โจรภูเขาร่างใหญ่พยายามเล่าเรื่องรันทดของครอบครัวและหมู่บ้านให้คุณหนูผู้นี้ฟัง พยายามขุดงิ้วหลายเรื่องที่เคยดูแล้วหลั่งน้ำตามารวมกันให้นางเห็นใจ “อืม...เจ้าว่ามาก็น่าสนใจ เช่นนั้นข้าอยากไปดูบ้านของเจ้า” “หา!” ต่อจากนั้นไม่ถึงสองเค่อรถม้าก็พาคนทั้งสี่ไปถึงหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาที่มีบ้านเรือนห้าหกหลัง เจ้าโจรภูเขาเรียกให้ลูกน้องของตนที่วิ่งหนีตายเมื่อครู่ออกมาจากบ้านแต่โดยดี จินฉิงอีเห็นสภาพพ่อแม่ และน้องของโจรภูเขาแล้วให้อนาถใจ พวกเขาล้วนผอมแห้ง ดีที่เจ้าโจรผู้นี้สูงใหญ่ “นี่เจ้าล่าสัตว์ไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้เชียวหรือ? อยู่กับป่าแท้ๆ ยังหาเลี้ยงครอบครัวได้แค่นี้” หญิงสาวในเครื่องแต่งกายที่ดูราคาสูงกวาดสายตามองทีละคน “แล้วทำไม เจ้าถึงอ้วนอยู่คนเดียวเล่า?” เจ้าโจรเปิดเสื้อของเขาออก ด้านในมีฟางสานอัดกันแน่น “ข้ากลัวจะโดนคนเอาดาบแทงจึงสานฟางเป็นเสื้อหนาๆ นอกจากจะทำให้ดูตัวใหญ่น่ากลัวแล้ว ยังป้องกันดาบได้อีกด้วย” จินฉิงอีกับซ่งฮุ่ยจูเห็นแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ จินฉิงอียินดีมอบเงินส่วนหนึ่งให้ครอบครัวของพวกโจรภูเขาเพื่อซื้อเครื่องกันหนาวแต่ขอร้องให้หยุดปล้นเพราะพวกเขาไม่มีวิทยายุทธเป็นอันตรายอย่างยิ่ง หากพลาดพลั้งเสียชีวิตไปจะทำให้ครอบครัวที่รออยู่เดือดร้อน ทุกคนจึงตกลง  ฉีเจียต้งเล่าเรื่องที่เขาเคยไปรับจ้างทำงานในเมืองหลวงแคว้นหมิงอยู่ช่วงหนึ่ง พอรู้หนังสือและทำบัญชีเป็น อีกทั้งยังเคยเดินทางไปเมืองหลวงแคว้นจินด้วย “เช่นนั้น เจ้าติดตามข้าไปทำงานจะดีกว่า ข้าต้องการคนพาไปเมืองหลวงแคว้นจินพอดี และเมื่อกลับเมืองหมิงอีกครั้ง ข้าจะให้เจ้าไปทำงานร้านแลกเงินของท่านพ่อ” ฉีเจียต้งดีใจยิ่งเขารีบคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณคุณหนูจิน นางมอบตั๋วเงินเป็นค่าจ้างล่วงหน้าเพื่อให้เขาทิ้งไว้ให้ท่านพ่อท่านแม่และน้องชายที่อายุเพิ่งสิบสองปีได้ใช้ ปีนี้ทั้งปีเขาไม่ต้องห่วงครอบครัวอีกแล้ว ซ่งฮุ่ยจูไม่เห็นด้วยที่คุณหนูของนางจะจ้างโจรภูเขาร่วมเดินทาง “เจ้าไม่สังเกตหรือฮุ่ยจู ข้าว่ารูปลักษณ์ ทั้งหน้าตาและผิวพรรณของเขานั้น ปลอมเป็นคุณชายได้สบายๆ”     ****************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD