เวลาต่อมา...
@Meeting room [13.30 น.]
“เราจะใช้โรงแรมชั้นสิบห้าทั้งหมดในการใช้เป็นสถานที่เก็บตัวของสาวงามยี่สิบคนรวมถึงบริเวณสระว่ายน้ำ…” เสียงของผู้จัดการเวทีประกวดนางงามดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่นิ้วมือของฉันตกกระทบแป้นพิมพ์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
“เป็นเวลาสามวันและจะใช้บริเวณห้องโถงใหญ่ชั้นสามในการใช้จัดเวทีประกวดในรอบตัดสิน…” แม้ว่ามือของฉันจะต้องกระทบแป้นพิมพ์ และสายตาของฉันจับจ้องที่หน้าจอสี่เหลี่ยม แต่ฉันกลับมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้น ความรู้สึกที่เรียกว่า มีคนกำลังจ้องมองฉันอยู่ และที่มันทำให้ฉันมั่นใจเมื่อ
“เอ่อ ท่านประธานฟังอยู่หรือเปล่าคะ” เสียงของผู้จัดการที่ดูเหมือนจะเป็นการเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เป็นเหตุให้ฉันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น และหันไปมอง
“คุณเห็นผมยกมือปิดหู?” บอสยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะที่ขมับเหมือนจะบอกให้ผู้จัดการสาวคนนั้นรู้จักคิด ทำเอาเธอหน้าเจื่อนในทันที
“พอดีเห็นคุณมองไปเอ่อ…ทางอื่น”
“อีกสิบนาที” เขาพูดขึ้นพร้อมกันเอนหลังพิงพนักพิง บอสแทบไม่ได้ชำเลืองสายตามองฉันเลยสักนิด ฉันคงคิดเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว
“บริเวณชั้นล่างจะใช้เป็นที่พักของนักข่าว และเหล่าแฟนคลับ…” เธอพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เล็กน้อยฉันนึกสงสารเธอจับใจ ถึงเขาจะดูเล่นไปเรื่อย นั่นแหละเป็นเพียงมุมที่ไม่กี่คนที่ได้เห็น และมุมนี้ก็เป็นมุมที่หลายคนได้เห็น เขามันน่ากลัว
“ส่วนเรื่องสัญญา และค่าเช่าสถานที่จะถูกโอนอีกครึ่งหลังจาก…”
“ผมต้องการให้รอบสุดท้ายจัดอีกที่” ฉันเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินบอสพูดแบบนี้ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่ง ในหัวของฉันตอนนี้กำลังปั่นป่วน ฉันต้องตามเขาให้ทัน และในที่สุดฉันก็เข้าใจหลังจากนึกถึงจำนวนวันก่อนจะถึงรอบสุดท้ายในการประกวด
“ไม่ได้เขียนอยู่ในสัญญานิคะ…” เธอพูดขึ้น ก่อนที่ฉันจะหันหน้าไปหาเธอ
“เราเป็นคนเขียนสัญญาค่ะ…ดังนั้นแล้วคุณเพียงแค่รับฟัง” ฉันพูดเสียงเรียบก่อนที่จะลุกขึ้นพร้อมกับหยิบแล็บท็อปไปด้วย โชคดีที่ตอนซิงก์ข้อมูลเข้าเครื่องใหม่ฉันเอาข้อมูลเรื่องนี้มาด้วย เพราะฉันไม่ได้เอาแล็บท็อปประจำตัวฉันมา
“สวัสดีค่ะ ฉันแอนเทียร์น่า เลขานุการคุณธณกฤธ…” ฉันยกมือไหว้ก่อนจะยิ้มมองไปทั่วทั้งห้องประชุมที่มีสายตานับ สิบคู่ที่กำลังมองมา เวทีประกวดนางงามนี้ได้รับความสนใจจากทั่วโลก และแน่นอนมันจะสร้างชื่อให้กับสถานนี่นั้น ๆ ที่ได้รับเลือกในการจัดการประกวด
“ในอีกสามวันข้างหน้าทางจีเอฟกรุ๊ปกำลังจะเปิดตัวห้างสรรพ- สินค้าใหม่ใจกลางเมือง…” ฉันพูดไปในขณะที่มือของชี้พอยเตอร์ไปที่จอโปรเจกเตอร์ในการนำเสนอห้างสรรพสินค้าที่มีแพลนจะเปิดตัวอีกไม่กี่วัน ฉันคาดหวังว่าฉันจะเดาใจบอสถูก และฉันก็ได้รับรอยยิ้มที่มุมปากของเขาบาง ๆ
“ไม่เพียงแต่เป็นห้างสรรพสินค้า แต่ภายในชั้น G2 เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การจัดงานประกวดต่าง ๆ เช่น ประกวดนางงาม…” ฉันพูดด้วยความคล่องแคล่วแม้ไม่ได้เตรียมตัวมาเลยสักนิด บอสเขาเป็นแบบนี้เขาชอบมีไอเดียขึ้นมาแล้วเขาก็พูดขึ้นเลย ส่วนฉันมีหน้าที่ต้องตามให้ทัน การที่เขาเลือกที่จะให้ไปจัดงานที่นั่นก็เพราะก่อนเวลาประกวดที่จะมาถึงก็คงมีเหล่าไฮโซที่ชอบมาดูการเดินแบบมาที่ห้างใหม่ของเขาไม่น้อย ซึ่งมันเหมือนกับได้โปรโมตห้างไปในตัวด้วย
“เราได้อะไร…” เหมือนทางฝั่งนั้นต้องการข้อแลกเปลี่ยน และดูเหมือนจะหมดหน้าที่ของฉันแล้ว
“เงินอีกครึ่ง…” บอสพูดเสียงเรียบ ก่อนที่ภายในห้องประชุมจะเงียบขึ้นมา ฉันจัดการเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะทำงานก่อนจะร่างสัญญาขึ้นมาใหม่ การเงียบเป็นคำตอบที่ดีเชียวล่ะ
พรึ่บ!
ทันทีที่การประชุมจบลงและได้ข้อสรุปที่น่าพึงพอใจ บอสเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นและเดินหนีหายออกไปไม่แม้แต่จะโค้งหัวให้ใคร
“ขอบคุณนะคะ” ฉันยื่นมือไปจับมือกับผู้บริหารของเวทีประกวดนี้ ก่อนที่จะรีบวิ่งตามบอสออกไป
“เสียเวลาชิบ” เขาสบถออกมาเมื่อเดินออกไปนอกโรงแรมเพราะดูเหมือนเราจะไปอีกที่ไม่ทันเวลา ก่อนที่เขาจะหยุดชะงัก เหมือนว่าคิดอะไรขึ้นมาใหม่อีกแล้ว
กึก!
“ส่งดอกไม้ให้หมายเลขสิบห้าด้วย” เสียงทุ้มลึกของเขาดังขึ้น ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย อยู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา ปกติเขาจะดีลใครฉันไม่ค่อยจะนำมันมาให้ปวดหัวใจเพราะฉันรู้สถานะตัวเอง แต่พอเกิดเรื่องเมื่อคืนขึ้นมันเป็นฉันเองที่รู้สึกผูกพันกับเขา
“_” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา เพราะไม่เห็นเขาพูดอะไรต่อก่อนจะพบใบหน้าที่แสดงออกว่าหงุดหงิดแค่ไหน แต่ก่อนที่ฉันจะได้เอ่ยอะไรออกไป
“ท่านประธานคะ เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ…” ผู้จัดการโรงแรมที่เดินมาส่งเราสองคนพูดขึ้นก่อนที่เธอจะหันมาหาฉัน
“คุณเป็นเลขาคนใหม่ของเขาเหรอ นึกว่าคู่นอนซะอีก” เธอพูดอย่างกระตือรือร้นขณะที่บอสกำลังเปิดประตูรถเบนซ์ฝั่งหลังคนขับ แสดงว่าเธอจำฉันไม่ได้ ก็แหงล่ะ บอสยังจำฉันไม่ได้เลย
“ผมไม่เคยจ้างใครให้มาถามอะไรแบบนี้นะ”
ปัง!
ว่าเสร็จเขาก็กระแทกประตูปิดเสียงดัง ดูเหมือนเขาจะหงุดหงิดอะไรขึ้นมา ถึงได้พาลมันไปทุกเรื่องอย่างนี้ ฉันยิ้มบาง ๆ ให้กับผู้จัดการโรงแรมที่โดนคนเอาแต่ใจเหวี่ยงก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับ
“ใครบอกให้คุณขับ” ก่อนที่ฉันจะได้ขึ้นรถบอสก็พูดขึ้นทำเอาฉันงงเป็นไก่ตาแตก
“นอนไปแค่ชั่วโมงเดียว เกิดพาผมรถคว่ำตายจะทำยังไง” เขาว่าพร้อมกับเลื่อนกระจกบอกบอดี้การ์ดเขาให้ขึ้นมาขับรถให้ ในขณะที่ฉันยืนงงไปกันใหญ่ มิน่าล่ะเขาถึงไม่ขับรถปอร์เช่เขากลับ หรือว่าเขาจะให้ฉันขับกลับให้นะ อืมม คงงั้น
“เดินทางปลอดภัยนะคะ” ฉันว่าพร้อมกับยิ้มให้เขาบาง ๆ
“โง่ตั้งแต่เมื่อไร”
“หือ?”
“ขึ้นมาสิ”
“แล้วรถ…”
“เกิดขับรถพลิกคว่ำตายจะทำยังไง” เขาเป็นห่วงฉันเหรอ ไม่หรอก ไม่หรอก ฉันพูดย้ำ ๆ ในใจเพื่อเตือนสติตัวเอง ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งอ้อมไปอีกฝั่งคันรถและเปิดประตูรถไปนั่งข้าง ๆ เขา
รถยนต์ค่อย ๆ เคลื่อนออกไปในขณะที่คนข้างกายของฉันนั่งหันหน้าหนีออกนอกหน้าต่างทำเอาใจฉันรู้สึกจี๊ด ๆ เหมือนเขาไม่ค่อยอยากมองหน้าฉันสักเท่าไร แต่แล้ว
“เบอร์สิบห้าไม่ได้จะจริงจัง แค่จะล่อมาเป็นพรีเซนเตอร์ห้างเฉย ๆ”