กริ๊งงงง กริ๊งงง ~
“เฮ้อออ~” ผมผ่อนลมหายใจออกก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ประจำโรงแรมขึ้นรับ
“สวัสดีค่ะ ท่านประธานอีกสักครู่จะมีอาหารขึ้นไปเสิร์ฟนะคะ”
“ชุด??”
“เอ่อ ทางเรายังไม่แน่ใจในขนาดตัวของคุณผู้หญิงค่ะ”
“38-25-36 สูง 175” ผมเอ่ยบอกสัดส่วนของแอนนี่ลงไป ก่อนจะวางโทรศัพท์ลง พร้อมกับเสยผมเมื่อสัดส่วนของเธอทำให้ผมนึกถึงเรื่องเมื่อคืน
“บ้าชิบ” ผมสบถออกมาอีกครั้งเมื่อไม่สามารถสลัดความคิดเกี่ยวกับเธอได้เลยแม้แต่นิด ก่อนจะนำพาตัวเองเข้าห้องน้ำไป
นานพอสมควรที่ผมใช้เวลาในการอาบน้ำ น้ำเย็น ๆ ยังไม่สามารถสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น ผมควรจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นยังไง
“นอนไม่รู้เรื่องเลยนะ” ผมหยุดยืนที่ปลายเตียงขนาดใหญ่พร้อมกล่าวคาดโทษเธอ พลันสายตามองเห็นกระเป๋าสะพายของแอนนี่ อยู่ ๆ ผมก็คิดอะไรออก
ผมเดินไปหยิบเอากระเป๋าของเธอขึ้นก่อนจะนำไปเทข้าวของของเธอทั้ง เครื่องสำอาง กระเป๋าสตางค์ รวมถึงบัตรประจำตัวต่าง ๆ ลงที่โต๊ะขนาดเล็กที่ตั้งติดผ้าม่านข้าง ๆ เตียงนอน ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้นวมพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบรีโมตแอร์มาลดอุณหภูมิเพื่อเร่งความเย็นให้คนที่ทำผมปั่นป่วนได้รู้สึกตัวตื่น
แอนนี่พลิกตัวไปมาเป็นผลให้ผ้าห่มของเธอเปิดออก แต่เธอกลับไม่ได้ดึงมันมาคลุมอะไรเลย
“ตื่นแล้วก็ลุกไปทำงาน” ดวงตาเธอเบิกโพลงพร้อมกับมองมาทางผมด้วยความตกใจหลังจากที่ได้ยินผมพูด พลันสายตาเธอก็เลื่อนไปที่โต๊ะข้าง ๆ ผม หวังว่าเธอจะเข้าใจว่าผมกำลังจะสื่ออะไรนะ
“แอนนี่?” ผมยิ้มออกมาอย่างเย้ยหยันเมื่อเห็นเธอทำหน้าตารู้สึกผิดเหมือนกับรับรู้ว่าผมไม่พอใจ
“บอส…” ผมไม่เคยมองผู้หญิงที่ตื่นนอนแล้วรู้สึกน่าเอาขนาดนี้มาก่อน แอนนี่ยกมือขึ้นเสยผมพร้อมกับกัดริมฝีปากล่างไว้ มันทำให้ผมขมวดคิ้ว
“หลอกผม??” ผมทวนความจำให้เธออีก เผื่อเธออยากจะพูดอะไรที่ทำให้ผมรู้ว่าว่าเธอไม่คิดว่าผมโง่ แต่เธอกลับถอนหายใจเหมือนไม่อยากจะพูดอะไร แม่ง! หงุดหงิด
“ก็รู้ว่าผมเกลียดคนโกหกแค่ไหน” ผมจ้องมองใบหน้าของเธอที่เริ่มแดงขึ้นเหมือนจะร้องไห้ ก่อนจะได้ยินประโยคที่ทำให้ผมแทบบ้า
“ลืมมันไปเถอะค่ะ”
“ฮะ!!” ผมดีดตัวลุกขึ้นยืนทันทีกับคำว่าลืมมันไป เรื่องที่มีอะไรกันผมไม่อยากเก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว แต่เธออย่ามาบอกว่าให้ลืมเรื่องที่เธอโกหกผม
“รู้ตอนไหนคะ ตั้งแต่แรกหรือเมื่อกี้” ผมชะงักฝ่าเท้าที่กำลังจะเดินไปหาเธอก่อนจะสบสายตากับเธอ เหมือนว่าเธอจะคาดหวังในคำตอบมันทำให้ผมเลือกที่จะบอกเธออีกแบบ
“เมื่อกี้…” เพราะเธอจะคิดเข้าข้างตัวเอง ทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็ได้หมุนตัวเดินออกไปจากห้องนอนทันที เพราะผมไม่ชอบ
เห็นเธอร้องไห้
เวลาต่อมา…
“จิ๊” ผมจิ๊ปากหลังจากที่เดินออกมาจากลิฟต์กลับเข้ามาในห้องรับแขก หลังจากที่ไปยังห้องบริหารมา บ่ายนี้ผมมีประชุมเรื่องการขอใช้สถานที่จัดประกวดนางงามที่ดูเหมือนผมจะได้เม็ดเงินเยอะเลย แต่กลับอารมณ์ไม่ดีสักนิด
แอนนี่ยังไม่ออกมาจากห้องนอน อยากรู้ชะมัดว่ายังร้องไห้อยู่หรือเปล่า จำได้ว่าเธอร้องไห้ตอนล่าสุดก็ตอนที่พ่อแม่เธอเสียด้วยอุบัติเหตุเมื่อห้าปีที่แล้ว พอเห็นแบบนี้แล้ว
แกร็ก~
แอ๊ดดด~
ผมหันขวับไปมองบานประตูที่ค่อย ๆ เปิดออก ก่อนจะนิ่งอึ้งไปชั่วขณะที่เห็นเธอแต่งตัวออกมา แอนนี่ไม่ได้อยู่ในชุดทำงาน แต่เธอกลับอยู่ในชุดเดรสสีชมพูอ่อน สงสัยพนักงานข้างล่างจำเธอไม่ได้ หากว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันมานาน ในตอนนี้ผมก็คงจำเธอไม่ได้เหมือนกัน
สวย…
“เอ่อ บอสคะ…ชุดฉัน” เธอพูดออกมาก่อนจะก้มหัวลง มือบางยกขึ้นลูบที่ผมตัวเองเบา ๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ส่วนอีกข้างกำชายกระโปรงไว้แน่น
“แต่งอะไรของคุณ” มันสวย ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ถ้าพูดอะไรออกไปแล้วล่ะก็
เสียหมาสิครับ!
“พู่วว~” เธอพ่นลมหายใจออก ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะแกล้งเธอโดยการจับหัวของเธอให้เงยหน้าขึ้น แต่ตอนนี้ถ้าได้จับแล้วกลัวได้ทำอย่างอื่นด้วย
“เดือนหน้าครบแปดปีที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมจะไม่ถือเรื่องที่คุณโกหก” ผมเอ่ยโปรยสิ่งที่ผมอยากจะบอก ถึงจะยังโกรธที่เธอโกหกแต่เมื่อคืนเหมือนผมจะได้กำไรนะ อย่างที่บอกนั่นแหละ เราเป็นเพื่อนกัน และผมไม่อยากให้เรามองหน้ากันไม่ติด ผมยืนคิดอยู่นานพอสมควรว่าจะบอกเธอดีไหม แต่เอาเถอะจะได้จบ ๆ
“_”
“เรื่องเมื่อคืน ลืมมันไปก็แล้วกัน…”
-Annie-
ทำใจ และทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นานเหมือนกันกว่าจะกล้าเดินออกมา อย่างที่เขาพูดเราเป็นเพื่อนกันมา แปดปี จะบอกว่าทำใจได้ก็คงดูเป็นคนขี้โกหก เอาเป็นว่าพยายามอยู่ก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ใจกล้าบอกเขาให้ลืมมันไปแต่พอได้ยินจากปากเขาเองกลับเซถอยหลังซะงั้น
เสียงทุ้มลึกที่ฉันหลงใหลดังขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน สรรพนามที่เขาเรียกฉันมันเปลี่ยนไป ฉันรู้ดีว่าทำไม มันเจ็บดีกับคำพูดของเขา แต่ก็ไม่เกินคาดเดาสักเท่าไรก็แค่เผลอหวังมากไปก็เท่านั้น
“ค่ะ…” มันก็เหมือนกับทุกครั้งแหละ ที่เขาออกคำสั่งมา ฉันก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขาหรอก บางทีปลายเท้าของเขาฉันก็เห็นจนชิน
“ช่วยทำตัวให้เป็นเหมือนเดิมด้วย” ฉันไม่ได้ตอบอะไรแค่ผงกหัวรับเหมือนกับทุกครั้ง ฉันก็ไม่ได้อยากเรียกร้องอะไร แค่ได้มีอะไรกับเขาในวันนี้เหมือนฉันได้นอนตายตาหลับแล้วแหละ
“คุณ จะไม่พูดอะไรหน่อยหรือไง โอ้ย! หงุดหงิด” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที เขาจะหงุดหงิดทำไม ไม่เข้าใจ แต่ก็นะแทบจะนับไม่ถ้วนกับคำว่าหงุดหงิดที่เขาพูดกับฉันมาเกือบแปดปีที่ทำงานด้วยกันมา
“ค่ะ ฉันจะทำตัวเหมือนเดิม เหมือนกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น” ฉันพูดออกมาจากใจจริง ฉันไม่อยากคิดอะไรกับเขาเกินกว่านี้หรอก อยู่แบบนี้ฉันก็มีความสุขมากแล้ว ถ้าเผลอไปคิด ไปคาดหวังอะไรเข้า เจ็บเปล่า ๆ
“สมภารเขาไม่กินไก่วัดหรอก มันเสียระบบ” แต่คุณกินฉันไปแล้วไง เฮ้ออ… แต่อย่างว่าแหละอะไรมีรูเขาเอาหมดแหละ
“ฉันอยากรู้อะไรบางอย่างค่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาของเขามันดูเรียบตึงจนฉันกล้า ๆ กลัวที่จะถาม แต่ฉันอยากรู้จริง ๆ แค่อยากรู้ ไม่ได้คาดหวังคำตอบหรอก
“_”
“ถ้าเมื่อคืน คุณไม่เมา แล้วคุณรู้ว่าเป็นฉัน คุณยังจะ…เอ่อ มีอะไรกับฉันไหม” เมื่อคืนเขาจำฉันไม่ได้แหละดูจากข้าวของของฉันที่เขาค้นดูเมื่อเช้า ฉันก็รู้แต่อยากถามไง แต่ดูแล้วฉันไม่น่าถามเลยแหะ
“_”
“เอ่อ ขอโทษค่ะ ไม่น่าถามเลยเนอะ” พอเห็นเขาเงียบแล้วใจที่เต้นแรงเพื่อรอคำตอบเขา ก็แทบจะหยุดเต้น โอ้ย! ฉันไม่น่าถามเลย
“_”
“บ่ายนี้มีประชุม ฉันจะออกไปเตรียมเอกสารก่อนนะคะ” เปลี่ยนเรื่องเลยก็แล้วกัน เขาเงียบจนฉันใจไม่ดี ก่อนที่ฉันจะหมุนตัวออกไป แต่แล้ว
“เวลาจะถามอะไร บอกให้คิดก่อนถาม” นั่นสิ ฉันพยักหน้ารับเบา ๆ ฉันลืมคิดเหรอ ไม่หรอก ฉันคิดมาทั้งวันต่างหาก
“ค่ะ ขอโทษค่ะ”
“_” เอาจริงไหม ฉันว่าเขานั่นแหละเปลี่ยนไป เขาไม่เคยเงียบแบบนี้เลย ปกตินะ เขาพูดจนฉันอยากจะเอาเทปกาวมาปิดปากเขาไว้ ยิ่งทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจ ที่บอกให้ลืม ๆ มันไป เขาเองหรือเปล่าที่ไม่ลืม
“แต่บอสคะ…”
“_”
“ช่วยกลับมาเรียกฉันเหมือนเดิมได้ไหม แบบนี้แล้วมันทำให้ ฉันรู้สึกว่าระหว่างเรา…มันเปลี่ยนไป”
“ก็ใช่ไง!!.!”
“คะ??”
“มองทำไม”
“เมื่อกี้คุณพูดว่าใช่”
“ใครพูด…”
“คุณทำให้ฉัน…งง”