ก่อกบฎ

2196 Words
เมืองต้าหยางทั้งเมืองคึกคักไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อวันพิธีเถลิงราชย์ใกล้เข้ามา ถนนถูกประดับประดาด้วยธงและโคมกระดาษสีสันสดใส ในขณะที่บริเวณพระราชวังถูกเปลี่ยนเป็นแสงสีเสียงตระการตา วันพิธีเถลิงราชย์มาถึง เมืองดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่เคยเป็นมา ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าบนท้องฟ้า ฉายแสงอันอบอุ่นเหนือถนนที่พลุกพล่าน ผู้คนในต้าหยางรอคอยวันนี้มาหลายเดือนแล้ว และพวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะเป็นสักขีพยานในเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ เมื่อวันเวลาล่วงไป ประตูพระราชวังถูกเปิดออก แขกจากต่างแคว้นก็หลั่งไหลกันเข้ามามากมาย ถนนคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ทุกคนแต่งกายด้วยชุดที่ดีที่สุด กลิ่นหอมของอาหารเอร็ดอร่อยโชยมาในอากาศ ขณะที่พ่อค้าแม่ค้านำสินค้าของตนมาขายให้กับฝูงชนที่เข้ามาร่วมเฉลิมฉลองจนแน่นถนน ภายในกำแพงวัง เป็นภาพที่น่าทึ่งพอๆ กับภายในห้องโถงใหญ่ ทั่วทิศประดับประดาด้วยดอกไม้ เทียนจำนวนมาก และปูด้วยพรมราคาแพงจากแดนตะวันตก ทุกอย่างจัดวางอย่างลงตัวทั้งสีและโทน โถงใหญ่ที่ตั้งของบัลลังก์ยิ่งงดงามด้วยผนังปิดทองและอัญมณีที่ส่องประกายระยิบระยับ “ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่หรือไม่หรูเจียง” สตรีมีอายุในอาภรณ์สีแดงเพลิงเข้าคู่กับสีทอง ปักด้วยลายดอกโบตั๋นที่ชายกระโปรง บนศีรษะประดับประดาด้วยเครื่องประดับมีค่ามากมายจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้เห็นเส้นผม นางมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นความยิ่งใหญ่ของงานเฉลิมฉลองในปีนี้ ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของตงซาน “พร้อมแล้วพะเจ้าค่ะ แขกเดินทางมาถึงครบแล้ว ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาเริ่มงานเต็มที” เสนาอำมาตย์หรูเจียงกล่าวรายงาน เขาอยู่ภายในห้องส่วนตัวกับพระพันปีฉินหลิงเพียงลำพัง “องค์หญิงสามมาถึงแล้วหรือยัง ข้ายังไม่ได้เจอกับนางเลย” ฉินหลิงหันไปถามชายวัยกลางคนที่กำลังจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเอง “มาถึงเมื่อเช้าพระเจ้าค่ะ เส้นทางจากแคว้นเฉิงอี้มาที่ต้าหยางถือว่าไกลพอสมควร” “เช่นนั้นเจ้าไปดูความเรียบร้อยในงานเถิด ข้าจะไปดูอาฉินจื่อสักหน่อย” ทั้งสองคนแยกกันตั้งแต่ตรงนั้น ฉินหลิงเดินไปยังห้องของบุตรชายคนโตแต่ไม่พบว่าเขาอยู่ที่นั่น ภายในห้องมีร่องรอยการต่อสู้ชัดเจน ดูจากข้าวของที่กระจัดกระจายไปทั่วห้อง ไหนจะรอยเลือดมากมายบนพื้นอีก หัวใจของหญิงชราหล่นวูบ แต่ก็ตั้งสติได้ว่าต้องหลบไปให้ไกลจากตรงนี้เสียก่อน ที่ลานพิธีเต็มไปด้วยเสียงเพลงและเสียงหัวเราะ พิธีเริ่มด้วยขบวนนักบวชและผู้มีเกียรติทุกคนแต่งกายด้วยชุดพิธีการ จากนั้นก็เป็นขบวนของราชวงศ์ของแคว้นต้าหยาง ตามด้วยขบวนของแขก และลำดับสุดท้ายควรจะเป็นขบวนของฮ่องเต้ฉินจื่อเหลียน แต่กลับยังไม่มีแม้แต่ข้าราชบริพารของเขา “ขบวนของฮ่องเต้หายไปไหนกัน” “นั่นน่ะสิ” เสียงของผู้คนภายในงานเริ่มซุบซิบกันจนเป็นเสียงดังไปทั่วลานพิธี เจินลี่หลัวมองหาน้องชายของตนเพราะเขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่ต้องร่วมขบวนกับองค์ฮ่องเต้ หญิงสาวรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ผู้คนแปลกหน้ากระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่ ทั้งที่ส่วนนี้มันควรจะมีแต่ขุนนางนับตั้งแต่ชั้นกลางของราชวังเท่านั้น ไม่นานก็ปรากฏขบวนเสด็จปริศนา ที่ประมุขของขบวนเป็นบุคคลที่ทุกคนรู้จักกันดี เจินลี่หลัวและบรรดาผู้คนที่มาร่วมงานต่างพากันลุกขึ้นฝูงชนโห่ร้องเมื่อเห็นว่าเป็นฉินฉื่อเหยาน้องชายขององค์ฮ่องเต้ “ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ และประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกันว่า ผู้ครองบัลลังก์ต้องหยางบัดนี้คือข้า ฉินฉื่อเหยา มิใช่ฉินจื่อเหลียนอีกต่อไป” ชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีแดงปักลายมังกรสีทอง บนหัวสวมเครื่องหัวประจำบัลลังก์ต้าหยาง ซึ่งเป็นอันเดียวกับที่ฮ่องเต้องค์ก่อนควรจะได้สวมในวันนี้ ทหารตงซานที่แทรกตัวอยู่กับผู้คนพลันลุกขึ้นพร้อมกับชักดาบออกมาขู่ประชาชนที่แสดงท่าทีต่อต้านฮ่องเต้องค์ใหม่ ความตื่นตระหนกและความโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อฝูงชนพยายามหนีออกจากลานพิธีเจินลี่หลัวเองก็พยายามจะเดินออกไปเช่นกัน แต่ทุกคนถูกทหารของตงซานบังคับให้นั่งลงและอยู่ในพิธีต่อจนกว่าจะจบพิธี นางได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงดาบกระทบกันดังมาจากด้านนอกลานพิธี ทหารตงซานโจมตีผู้ที่ต่อต้านฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้ที่คิดจะกบฏ เจินลี่หลัวรู้สึกกังวลและเป็นห่วงฉินจื่อเหลียน เกิดอะไรขึ้นกับเขา ทำไมงานในวันนี้ถึงกลายเป็นงานราชาภิเษกไปเสียได้ และจะมีฮ่องเต้องค์ใหม่ได้อย่างไร หากฮ่องเต้องค์เก่ายังอยู่ ความคิดมากมายเกิดขึ้นในหัวของหญิงสาว นางได้แต่ภาวนาว่าเจินฮุ่ยหมิงน้องชายของตัวเองจะทำหน้าที่องครักษ์ได้ดีพอที่จะปกป้องฮ่องเต้ได้ และหวังว่าคนทั้งสองจะปลอดภัย เจินฮุ่ยหมิงพาอดีตฮ่องเต้ฉินจื่อเหลียนหลบหนีออกมาจากการโจมตีของฉินฉื่อเหยาน้องชายของเขาได้ทันเวลา ฉินฉื่อเหยาพากองกำลังเข้าไปปิดล้อมตำหนักของฉินจื่อเหลียนแล้วบุกเข้าไปหวังจะจับกุม แต่โชคดีที่เจินฮุ่ยหมิงแม่ทัพหลวงอยู่ด้วยทำให้หลบหนีออกมาได้ทัน เจินฮุ่ยหมิงและฉินจื่อเหลียนยังคงเดินทางต่อไปในเมืองโดยพยายามหลีกเลี่ยงทหารที่ลาดตระเวนตามท้องถนน เจินฮุ่ยหมิง รู้ว่าพวกเขาจำเป็นต้องหาสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อจัดกลุ่มใหม่และวางแผนการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป เขานำอดีตจักรพรรดิไปยังที่ซ่อนลับที่เขาเคยใช้ในอดีตเพื่อซ่อนตัวจากศัตรู เมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในแล้ว เจินฮุ่ยหมิงก็จุดตะเกียงและเริ่มสำรวจดูรอบๆ ที่หลบภัยเป็นห้องเล็ก ๆ ที่มีเก้าอี้และโต๊ะสองสามตัว พวกเขาได้ยินเสียงการต่อสู้ข้างนอก และเจินฮุ่ยหมิงรู้ว่าพวกเขาคงจะอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน “เราคงหลบอยู่ในนี้ได้อีกสักพักรองแม่ทัพลิ่วกำลังออกไปรวบรวมกำลังพล แต่ข้าอยากพาฮ่องเต้ออกไปหลบที่นอกเมืองก่อนเราไม่รู้ว่าทหารตงซานมีจำนวนเท่าใด อีกอย่างตอนนี้พวกมันคงแทรกซึมเข้ามาและกระจายกำลังจนทั่วต้าหยางแล้ว” แม่ทัพหนุ่มกล่าวขณะที่กำลังบดยาสมุนไพรใส่แผลที่แขนของตัวเอง “ข้าน่าจะเชื่อเจ้าตั้งแต่ตอนนั้น” ฉินจื่อเหลียนเอ่ยขึ้น ความรู้สึกผิดกระจายเต็มอกของเขา ชายหนุ่มได้แต่คิดว่าตัวเองช่างไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ปกครองแผ่นดินเลยแม้แต่นิดเดียว “อย่าคิดมากไปเลย ตอนนี้เรายังมีโอกาสที่จะสู้” เจินฮุ่ยหมิงเข้าใจว่าอำนาจส่วนใหญ่อยู่ในมือของพระพันปี และนางก็คิดน้อยเกินไป เห็นแกเครื่องบรรณาการที่ตงซานส่งมาถวายจนลืมเรื่องความมั่นคงของกองกำลังทหารจนพลาดท่า “ฉินฉื่อเหยาไม่มีทางยอมลงจากบัลลังก์ง่ายๆ แน่ การที่เขากล้าชิงบัลลังก์กลางพิธีสำคัญขนาดนี้ แปลว่าเขาต้องวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว” ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวขึ้น เขามั่นใจว่าน้องชายคงจะร่วมมือกับตงซานอย่างแน่นอน และเขาต้องวางแผนทุกอย่างมารัดกุมแน่แล้ว ถึงได้กล้าทำเรื่องแบบนี้ “ถ้าเป็นแบบนั้นข้ายิ่งต้องพาท่านหลบหนีไปให้ได้เสียก่อน ออกไปของลี้ภัยที่แคว้นพันธมิตร ตั้งหลักสักระยะ รวบรวมกองกำลังแล้วค่อยเข้ามาชิงต้าหยางคืน” “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าการทำสงครามประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย อาจจะต้องล้มตายไปโดยไม่รู้เรื่องอะไร” แม้จะเป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดแต่ฉินจื่อเหลียนก็พยายามทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด หัวใจของคนที่เป็นฮ่องเต้ก็คือประชาชน “เช่นนั้นก็ค่อยคิดกันอีกที ตอนนี้เราต้องหนีไปก่อนพิธีจะจบ ตอนนี้ฉินฉื่อเหยาคงอยู่ในพิธีแล้วประกาศตัวว่าเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่” “ข้าอยากขอให้เจ้ากลับไปช่วยคนสำคัญก่อน แล้วเราจะหลบหนีไปด้วยกัน” “พระพันปีหรือ” “ลี่หลัว” คำตอบของฉินจื่อเหลียนทำให้เจินฮุ่ยหมิงเข้าใจในทันที ว่าอดีตของคนทั้งสองไม่เคยจางหายไป เขารู้มาโดยตลอดว่าพี่สาวไม่ยอมแต่งงานเพราะใคร แต่ก็ไม่คิดว่าฉินจื่อเหลียนเองก็จะยังมีความรู้สึกที่ดีต่อนางเช่นกัน ขณะนั้นเสียงของเท้าจำนวนมากดังเข้ามาจากทางเข้า ชายหนุ่มทั้งสองต่างพากันลุกยืนขึ้นและอยู่ในท่าพร้อมสู้ เจินฮุ่ยหมิงคว้าดาบขึ้นมากำไว้มั่น พร้อมกับขยับมายืนอยู่ด้านหน้าของฉินจื่อเหลียน แม้ว่าแขนข้างหนึ่งจะบาดเจ็บแต่ใจของเขาพร้อมสู้อย่างเต็มร้อย ทหารของตงซานที่ตามล่าตัวฮ่องเต้และแม่ทัพผู้ภักดีกรูเข้ามาพร้อมอาวุธครบมือ เจินฮุ่ยหมิงกวัดแกว่งดาบด้วยมือข้างเดียวที่ยังพอมีกำลังของเขา ฉินจื่อเหลียนถอยออกไปจับการต่ออยู่อยู่ด้านลังแต่ไม่นานก็ถูกทหารนายหนึ่งตรงเข้ามาหา เขาใช้ทักษะการต่อสู้ที่เคยเรียนจากเจินฮุ่ยหมิงต่อสู้และแย่งชิงดายจากอีกฝ่ายมาได้สำเร็จ ก่อที่จะวิ่งเข้าไปช่วยเจินฮุ่ยหมิงต่อสู้กระทั่งจัดการกับทหารพวกนั้นได้จนหมด “เจ้ายังไหวหรือไม่อาฮุ่ย” เพราะถูกรุมทำให้เจินฮุ่ยหมิงได้บาดแผลเพิ่มขึ้นมาอีกหลายจุด เขาพยักหน้ารับและพยายามประคองตัวเองให้ไหว ทั้งสองคนพากันหลบหนีออกมาจากที่ซ่อนแล้วมุ่งหน้าออกจากกำแพงเมืองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ทันจะออกไปไหนได้ไกล ชายทั้งสองก็ต้องหาที่หลบเพราะทหารเดินจนเต็มพื้นที่แฝงอยู่กับผู้คนที่เดินอยู่เต็มถนน “เราจะออกไปได้ยังไงพวกทหารเดินเต็มไปหมด” ฉินจื่อเหลียนบอกกับคนบาดเจ็บที่หลบอยู่ด้วยกัน “เราต้องหาที่ซ่อนตัว หาเสื้อผ้าที่มันกลมกลืนกับผู้คนมากกว่านี้” ฉินจื่อเหลียนมองไปรอบๆ เขาคิดหาทางหนีแต่ก็คิดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าใครบ้างจะไว้ใจได้ในเวลานี้ ขณะที่คนทั้งสองกำลังคิดหาทางหลบหนี มือปริศนาก็จับเข้าที่ไหล่ของเจินฮุ่ยหมิง เขารีบชักดาบขึ้นมาแม้แขนจะแทบขยับไม่ได้แล้วก็ตาม “เถ้าแก่หยาง” ฉินจื่อเหลียนเอ่ยขึ้น คนถูกขานชื่อก้มหัวคำนับก่อนจะพาคนทั้งสองให้ลัดเลาะตามตรอกซอยในตลาดแล้วพาไปหลบที่โกดังหลังร้านน้ำชาของเขา “เจ้าตามพวกข้ามาได้อย่างไร” เจินฮุ่ยหมิงเอ่ยถาม “ข้าไปร่วมพิธีแต่ยังเข้าไปไม่ถึงลานพิธี แต่ยินคนพูดกันว่าองค์ชายรองก่อกบฏ มีคนเห็นแม่ทัพหลวงพาฮ่องเต้หลบหนีมาทางตลาด จึงได้ย้อนกลับออกมา สิ่งศักด์สิทธิ์คงจะเห็นใจข้าถึงได้เดินมาเจอพวกท่านตรงนั้นพอดี” หยางซ่งไห่กล่าว “ตอนนี้ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” ฉินจื่อเหลียนเอ่ยถามด้วยความกังวล เขากลัวว่าน้องชายของตัวเองจะทำเรื่องที่ไม่สมควรมากกว่าแค่แย่งบัลลังก์ไปจากเขา “ทหารของตงซานเข้าควบคุมบรรดาขุนนางในเขตกำแพงเมืองชั้นกลาง ทหารที่อยู่ในกองทัพถูกฆ่าไปไม่น้อยเพราะ...ดื่มสุราจนเมา คลังอาวุธถูกตงซานยึดไปเรียบร้อย ตอนนี้ทั่วพื้นที่เมืองต้าหยางถูกควบคุมด้วยทหารจากตงซานแล้วพะเจ้าค่ะ” ผู้หลบหนีทั้งสองมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าคงหนีออกจากที่นี่ไปได้ยากลำบากมากแน่ ทางออกทุกทางคงจะถูกปิดล้อมไว้หมดแล้ว “ข้าสั่งให้คนเตรียมเสื้อผ้ามาให้พวกท่านเปลี่ยนแล้ว คืนนี้จะมีเรือสินค้าออกจากท่ามุ่งหน้าไปแคว้นเจียงซานล่องไปในแม่น้ำเหลือง รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วข้าจะพาไปลงเรือ” ทางออกเดียวที่ยังไม่ถูกปิดตอนนี้คือทางน้ำ หยางซ่งไห่เชื่อว่าฉินฉื่อเหยาคงคาดไม่ถึงว่าเขาจะส่งสองคนนี้ออกไปทางเรือ เพราะเขายังไม่เห้นทหารแถวท่าเรือ แต่หากช้าก็ไม่แน่พวกนั้นคงจะคิดได้ในไม่ช้านี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD