“คุณคะ คุณ!”
“ฮะ คะ?”
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
เจ้าหล่อนเอ่ยถามกันออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวลพร้อมกับที่เธอได้สติหวนกลับ
ภคมนลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงอีกครั้ง อยู่ ๆ หัวใจของเธอที่ราวกับด้านชามานานหลายปีก็กลับมาเต้นแรงเป็นจังหวะแค่เพียงได้พบเห็นผู้หญิงคนนี้ ในตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว...และเธออยากจะหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเพื่อให้ไออาการบ้าบอนี่มันหายไป
เธอผ่านพ้นชีวิตมามากกว่า 30 ปีแล้ว เหตุใดเธอจะไม่รู้กันว่าอาการที่เธอกำลังเป็นอยู่นี้มันคืออาการของรักแรกพบ...
และที่เธออยากจะหลีกหนีมันก็เป็นเพราะว่าเธอไม่อยากจะตกหลุมรักใครอีก ความรักครั้งเดียวของเธอที่เป็นความรักที่เจ็บปวดที่สุด...กำลังทำให้เธอหวาดกลัวกับการตกหลุมรักใครใหม่อีกครั้ง
และเธอก็ได้ตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้แล้วด้วย...ว่าชีวิตนี้เธอจะขออยู่และตายไปแต่เพียงลำพัง ไม่ขอดึงใครเข้ามาอยู่ในชีวิตของเธออีกต่อไป
“ฉันขอตัวก่อน...”
“เดี๋ยวก่อนสิคะ!”
เธอที่กำลังจะเดินจากออกมากลับต้องหยุดชะงักเพราะถูกใครคนนั้นรั้งแขนเสื้อของกันเอาไว้เสียก่อน
ภคมนหันหน้าไปสบมองยังมือของเจ้าหล่อนที่รั้งแขนเสื้อของกันเอาไว้ เจ้าหล่อนที่เห็นแล้วว่าตัวเองกำลังเสียมารยาท ก็รีบชักมือของตนเองออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับสบมองใบหน้าของเธอราวกับคนกำลังรู้สึกผิดเสียเต็มประดา
“ฉันเสียมารยาท...ขออภัยด้วยค่ะ”
เจ้าหล่อนโค้งศีรษะขอโทษกันให้เธอได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ
ให้ตายเถอะ...หล่อนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ!
เธอไม่กล้าจะเดินออกไปจากที่แห่งนี้อีกแล้วเพราะการกระทำของผู้หญิงตรงหน้าที่ดูเหมือนจะรู้สึกผิดเสียเต็มประดา และอันที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้โกรธเคืองเจ้าหล่อนเลยด้วยซ้ำที่เอื้อมมือมารั้งกันเอาไว้แบบนั้น
กลับกันเธอต่างหากที่เป็นคนเสียมารยาท เดินเข้ามายังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่กลับขอตัวจะออกไปก่อนแล้ว และมันคงไม่แปลกที่เจ้าหล่อนจะรั้งกันเอาไว้เพราะคิดว่าตนเองอาจจะทำอะไรผิดไปอย่างแน่แท้ลูกค้าถึงได้เลือกจะเดินออกจากร้านทั้ง ๆ ที่พึ่งเข้ามาด้วยซ้ำไป
“ฉันต่างหากค่ะที่ต้องขอโทษ”
และทีนี้ก็กลับกลายเป็นเราทั้งคู่ไปเลยสิที่ยืนโค้งศีรษะให้กันอยู่
“แล้วคุณจะมาขอโทษฉันทำไมคะเนี่ย!”
เจ้าหล่อนเหวขึ้นมาพร้อมกับพยายามจะทำให้เธอออกจากการยืนโค้งศีรษะเหมือนที่เจ้าหล่อนทำกับเธอเมื่อสักครู่นี้
ซึ่งเธอก็เงยหน้าขึ้นมาสบมองเจ้าหล่อน พร้อมกับได้เห็นทีท่าโล่งใจของหญิงสาวตรงหน้า เจ้าหล่อนปล่อยลมหายใจออกจากริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มให้กันบางเบา
“ไม่ถึงห้านาทีที่เราได้เจอกัน...”
“...”
“แต่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นเลยนะคะ”
“นะ นั่นสิคะ”
มันจริงอย่างที่เจ้าหล่อนว่ากล่าวทุกประการ
เราพึ่งจะได้เจอหน้ากันไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แต่มีเหตุการณ์หลากหลายเกิดขึ้นมากมาย
แต่เหตุการณ์ใดเล่าจะเท่าอาการที่เธอนั้น...ได้รู้สึกตกหลุมรักผู้หญิงตรงหน้าตั้งแต่แรกเห็น
ความเจ็บปวดจากรักครั้งก่อนทำให้เธอปิดหัวใจของตัวเองเอาไว้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เธอก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันแบบที่เธอเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้
แต่อย่างไรเธอก็จะไม่มีวันเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้อย่างเด็ดขาด ปณิธานของเธอก็ยังคงจะเป็นไปตามนั้น
หลังจากที่วันนี้จบลง...เธอจะไม่หวนกลับมายังที่แห่งนี้อีก เพราะฉะนั้นเธอรีบรับอุปการะน้องแมวแล้วออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดจะดีเสียกว่า
“คือฉันอยากจะรับน้องแมวไปเลี้ยงน่ะค่ะ”
“อ๋อ คุณคนเมื่อคืนที่ทักมาตอนตี 1 หรือเปล่าคะ?”
คงจะมีแค่เธอสินะที่ทักไปว่าอยากจะรับน้องแมวไปเลี้ยงในเวลาที่สมควรจะพักผ่อนแบบนั้นน่ะ...
เธอพยักหน้าตอบรับซึ่งเจ้าหล่อนก็ได้ผายมือให้เธอเข้าไปยังด้านใน ภคมนเดินตามเจ้าหล่อนพร้อมกับกองทัพแมวอีกจำนวนหนึ่งที่เดินตามพวกเราทั้งสองคนเข้ามาที่ด้านในด้วย
ด้านในมีของเล่นแมวและคอนโดของแมวมากมาย จากตาเปล่าที่เธอได้เห็นนั้นที่นี่มีน้องแมวเยอะมาก ๆ จนเธอนับไม่ถ้วนด้วยซ้ำว่ามีทั้งหมดกี่ตัว
ที่แห่งนี้มีน้องแมวหลากหลายสีสันรวมไปถึงหลากหลายสายพันธุ์ บางตัวก็เป็นน้องแมวขนยาวที่เธอไม่แน่ใจนักว่าเป็นสายพันธุ์ไหนเพราะเธอเองก็ไม่เคยได้ศึกษามาก่อน มีไปจนกระทั่งถึงสายพันธุ์ที่ไม่มีขนเป็นหนังล้วน ๆ ชวนให้คิดไปถึงหนังไก่ต้มอย่างไรอย่างนั้น
“มีน้องตัวไหนที่อยากจะรับไปอุปการะเป็นพิเศษบ้างไหมคะ?”
เจ้าหล่อนเอ่ยถามเมื่อเราเข้ามาภายในร้านแล้วและตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
เมื่อครู่เจ้าหล่อนขอตัวไปทำอะไรสักอย่างและทิ้งให้เธอนั่งอยู่เพียงลำพัง ซึ่งก็มีเจ้าแมวอ้วนตัวสีดำขึ้นมานั่งที่ตักของเธอ แถมยังส่งเสียงครืด ๆ พร้อมกับเอาหน้ามาถูไถให้เธอได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อเพราะก่อนหน้านี้เจ้าหล่อนบอกกับเธอเอาไว้ว่าห้ามจับน้องแมว
“คือว่าฉันจับน้องได้หรือยังคะ?”
“ตายจริง! ลืมไปเลยค่ะ!”
เจ้าหล่อนหน้าเหวอภายใต้กรอบแว่นหนาที่ยังคงสวมใส่
หล่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามและอ้อมเดินมาหาเธอที่ได้แต่นั่งมองการกระทำของเจ้าหล่อนตาปริบ ๆ หล่อนหยุดยืนอยู่ด้านข้างให้เธอสบมองใบหน้าของเจ้าหล่อนอย่างฉงนสงสัยว่าหล่อนมายืนอยู่ตรงนี้ทำไม ก่อนที่หัวใจของเธอจะเต้นแรงสนั่นหวั่นไหวจนรับรู้ได้ถึงใบหน้าของตัวเองที่ร้อนผ่าว และเธอรู้ได้เลยว่าใบหน้าของเธอจะต้องเป็นสีแดงมากแน่ ๆ
“คะ คือว่า...”
“ลงมาจากตักของพี่เขาก่อนนะเฉาก๊วย”
เธอเผลอขยับตัวถอยหนีเพราะอยู่ ๆ เจ้าหล่อนก็ก้มเข้ามาหากัน
แต่สิ่งที่เธอคิดเอาไว้นั้นมันผิดมหันต์...เจ้าหล่อนแค่เพียงก้มตัวลงมาอุ้มน้องแมวตัวสีดำที่มานอนเล่นอยู่ที่ตักของเธอก็เพียงเท่านั้น
ให้ตายสิภคมน...นี่เธอเสียอาการมากขนาดนี้เลยหรือ!
“ห้องน้ำอยู่ด้านนอกนะคะเดินออกไปเลี้ยวขวา”
“คะ?”
ว่าแต่หล่อนมาบอกเธอทำไมกันนะ...
“คุณต้องล้างมือก่อนนะคะถึงจะจับน้องแมวได้ แล้วเดี๋ยวเรามาคุยรายละเอียดที่คุณจะรับน้องแมวไปอุปการะกันค่ะ”
เจ้าหล่อนเอ่ยบอกให้เธอหายคล่องใจพร้อมกับยกยิ้มจนเต็มใบ
หัวใจของเธอที่สั่นตั้งแต่ทีแรกและใกล้จะสงบลงแล้วก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ซึ่งเธอก็รีบลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงและตั้งใจที่จะมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำอย่างที่เจ้าหล่อนได้เอ่ยบอก
แต่ทำไมอุปสรรคมันขวางกั้นกันเยอะเหลือเกินนะ!
“เอ่อ...”
“ครืดดดดดด”
เจ้าแมวตัวสีส้มนอนตัวยืดขวางทางประตูเสียจนไม่มีที่ผ่าน
แถมยังทำเสียงครืด ๆ ราวกับกำลังหลับสบายแบบนั้น...ใครมันจะไปกล้าปลุกกัน!
“กาฟิวส์เขาชอบนอนขวางทางคนแบบนี้ล่ะค่ะ น้องชอบให้คนมาลูบ ๆ ก่อนที่จะเดินผ่านไปน่ะ”
คุณเขาว่าพร้อมกับเข้ามาอุ้มเจ้าแมวตัวสีส้มให้ตอนนี้เส้นทางเดินไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นแล้ว
แล้วเจ้าแมวตัวนั้นตอนที่นอนอยู่บนพื้นไม่เห็นว่าจะตุ้ยนุ้ยขนาดนี้เลย ไหงพอเจ้าหล่อนมาอุ้มไปแล้วมือของหล่อนถึงได้ถูกขนของน้องกลบไปเสียมิดเลยกันล่ะ...หรือว่าหล่อนจะตัวเล็กเกินไปกันแน่นะ
“ทีนี้ผ่านไปได้แล้วค่ะ”
“ขะ ขอบคุณค่ะ”
เธอเอ่ยบอกอีกครั้งพร้อมกับเดินออกไปที่ด้านนอกอีกหน
ภคมนเดินไปตามเส้นทางที่เจ้าหล่อนเอ่ยบอกก็ได้พบเห็นกับห้องน้ำที่ยังคงคงคอนเซ็ปต์ของคาเฟ่แมว...มีน้องแมวอยู่ทุกพื้นที่ของที่แห่งนี้จริง ๆ
เธอเดินไปล้างมือตามคำบอกกล่าวของเจ้าหล่อนเสร็จสรรพก็มีน้องแมวสามสีกระโดดขึ้นมาบนเคาน์เตอร์ล้างมือ น้องเข้ามาคลอเคลียถูไถบริเวณหน้าท้องของเธอ และยังพยายามจะยืดตัวขึ้นมาคลอเคลียอยู่ที่ใบหน้า ซึ่งเธอก็ยกยิ้มอย่างเผลอตัวกับความขี้อ้อนนั้นของเจ้าแมวเหมียว
เธอรู้สึกดีตั้งแต่ก้าวเข้ามายังที่แห่งนี้แล้ว...จะเรียกว่าน้องแมวบำบัดได้หรือเปล่านะ
อยู่ ๆ น้องก็กำหมับเข้าที่บริเวณไหล่ของกัน และโชคดีที่เล็บของน้องจิกเข้ากับเสื้อของเธอไม่ใช่ที่เนื้อ ซึ่งเธอที่ทำอะไรไม่ถูกนั้นก็พยายามที่จะดึงน้องออก แต่น้องก็ร้องโหวกเหวกโวยวายราวกับกำลังเจ็บปวดให้เธอไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อ ภคมนจึงช้อนตัวของน้องเข้ามาสู่อ้อมอก พร้อมกับรีบวิ่งกลับเข้าไปภายในร้านทันทีเพื่อไปหาเจ้าหล่อนคนนั้นถึงอาการที่น้องกำลังเป็นอยู่
“คุณคะ คุณ!”
เธอตะโกนเรียกอย่างตกใจซึ่งเจ้าหล่อนก็รีบเดินหน้าตั้งเข้ามาหากันอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
“เหมือนว่าเล็บของน้องจะติดกับเสื้อของฉันน่ะค่ะ แล้วพอฉันจะแกะออกน้องก็ร้องเหมือนว่าเจ็บอย่างไรอย่างนั้น!”
เธอรีบสาธยายถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยทันควัน
แต่เจ้าหล่อนกลับยังนิ่งเฉยจนเธอได้แต่สงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...
“เอาอีกแล้วนะเจ้าฉัม!”
“เมี๊ยว!”
แมวที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอร้องออกมาอีกครั้งแล้ว
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เจ้าฉัมเขาชอบอ้อนคนแบบนี้แหละค่ะ ชอบให้คนอุ้ม พอคุณทำท่าจะแกะมือออก น้องก็เลยร้องออกมาเพราะไม่พอใจน่ะค่ะ”
มีแมวแบบนี้ด้วยแฮะ...
“เดี๋ยวฉันแกะออกให้นะคะ”
“อ๊ะ! ค่ะ”
เธอตอบรับ แต่เจ้าหล่อนยังยืนนิ่งให้เธอหันไปสบมองใบหน้าของเจ้าหล่อนอย่างไม่เข้าใจ
“แต่คุณช่วยก้มลงมาหน่อยได้ไหมคะ?”
“อ๋า...ได้ค่ะ”
เป็นเพราะว่าเธอสูงกว่าหล่อนอยู่พอสมควรแหละนะ
ภคมนขยับร่างให้ตอนนี้ไหล่ของเธอนั้นอยู่พอดีกันกับสายตาของเจ้าหล่อน ซึ่งเจ้าหล่อนก็เอื้อมมือมาแตะที่ไหล่ของกัน ก่อนจะค่อย ๆ ดึงเล็บของน้องที่ติดอยู่กับเสื้อของเธอนั้นออก
เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่เจ้าหล่อนจับร่างของกันผ่านเสื้อผ้านั้น...ทำไมเธอรู้สึกราวกับโลกทั้งใบนั้นมันหยุดหมุนไป
กลิ่นกายอ่อน ๆ ของเจ้าหล่อนที่ลอยละล่องมาแตะที่จมูกของกันนั้น...เธอรับรู้ได้เลยว่ากลิ่น ๆ นี้จะตราตรึงใจของเธอไปอีกสักพักใหญ่ ๆ จนกว่าที่อาการตกหลุมรักเจ้าหล่อนนั้นจะจางหายไป
จะช้าหรือเร็วเธอก็ไม่อาจจะแน่ใจได้นัก...แต่เธอรู้เพียงอย่างเดียวก็คือความตั้งใจของตัวเธอเองที่เธอจะต้องทำมันให้สำเร็จ
ภคมนรีบยืดตัวขึ้นจนเต็มความสูงโดยไม่อาจจะรับรู้ได้เลยด้วยซ้ำว่าเล็บของแมวนั้นมันถูกแกะออกไปจากเสื้อผ้าของเธอแล้วหรือยัง ซึ่งเจ้าหล่อนก็ดูเหมือนจะตกใจอยู่ไม่น้อยกับการทำอะไรกะทันหันของเธอ แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรและเป็นฝ่ายดึงแมวออกไปจากอ้อมกอด เป็นอันว่าเล็บของแมวได้ถูกแกะออกจนเสร็จสิ้น
“เรามาคุยเรื่องรับน้องแมวไปเลี้ยงกันดีไหมคะ?”
“อ๋อ เชิญเลยค่ะ”
เธอพยายามจะออกไปจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อรักษาหัวใจของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ตกหลุมรักใครอีก
เจ้าหล่อนเดินนำหน้าเธอไปอีกครั้งซึ่งเธอก็เดินตามไปก่อนจะนั่งลงยังที่เดิมที่เธอเคยได้นั่งเมื่อก่อนหน้านี้ แต่มันเปลี่ยนไปเพราะบนโต๊ะนั้นมีเอกสารอะไรบางอย่างตั้งวางเอาไว้อยู่
“นี่เป็นรายละเอียดต่าง ๆ สำหรับคนที่สนใจจะนำน้องแมวไปอุปการะนะคะ คุณลองอ่านดูก่อนค่ะ”
เธอพยักหน้าตอบรับและหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน
คร่าว ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมาก มีข้อตกลงและสัญญาต่าง ๆ สำหรับการจะรับน้องแมวไปอุปการะ ซึ่งที่เธออ่านมาทั้งหมดนั้นมันก็สมเหตุสมผลกับทุกอย่าง โดยน้องแมวที่จะนำไปเลี้ยงนั้นทางคาเฟ่ให้แบบฟรี ๆ ไม่คิดเงินไม่ว่าจะเป็นแมวไทยหรือแมวเทศ ขอเพียงแค่นำน้องไปด้วยความรักจริง ๆ เท่านั้น และทางคาเฟ่ยินดีรับน้องแมวคืนทุกกรณีขอเพียงแค่ไม่นำน้องไปทิ้งขว้าง
แต่ข้อตกลงข้อสุดท้ายนี้มัน...
“จะต้องมาที่คาเฟ่เป็นประจำอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการรับน้องแมวไปอุปการะ หมายความว่ายังไงคะ?”
เธอเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยในทันใด...
หมายความว่าอย่างไรให้มา 1 สัปดาห์ติดต่อกัน ถ้าหากเธอได้พบเห็นเจ้าหล่อนซ้ำ ๆ ตลอด 1 สัปดาห์ต่อจากนี้...มันก็เป็นการย้ำชัดความรู้สึกของเธอน่ะสิ
“เคยมีกรณีที่คนรับน้องแมวไปเลี้ยงตั้งแต่ครั้งแรกที่มาค่ะ และมารับไปเป็นประจำ 3 วันติดต่อกันโดยที่ทางคาเฟ่ของเราไม่ได้ตรวจสอบความพร้อมและสภาพจิตใจของผู้รับเลี้ยงก่อน”
“...”
“ปรากฏว่าคน ๆ นั้นนำน้องแมวไปทารุณค่ะ คนบ้านใกล้เรือนเคียงของเขาที่ตามเขามาในวันที่ 4 เพราะสงสารน้องแมว ได้มาแจ้งกับทางคาเฟ่ก่อนที่เขาจะรับน้องแมวตัวที่ 4 กลับไป โชคดีมาก ๆ เลยค่ะที่น้องแมวยังไม่เสียชีวิต แต่ตัวแรกกับตัวที่สองที่เขานำกลับไปก่อนหน้านั้น...อาการสาหัสจนกลับกลายเป็นกลัวคนไปเลยค่ะ”
เจ้าหล่อนเอ่ยบอกพร้อมกับหันหน้าไปทางมุมห้อง
ซึ่งเธอก็ได้พบเห็นว่ามีแมวสองตัวหลบอยู่ภายในคอนโดที่เป็นมุมมืด ๆ ตาของน้องตัวหนึ่งปิดสนิทบ่งบอกได้ว่าเจ้าแมวตัวนั้นได้เสียดวงตาข้างหนึ่งของตนเองไปแล้ว
“ที่คาเฟ่ของเรามีแมวมากขึ้นทุกวันก็เพราะแบบนี้แหละค่ะ คนส่วนมากไม่ค่อยอยากจะมากันบ่อย ๆ เพราะว่าที่นี่ค่อนข้างไกล พอมาแล้วไม่ได้ตามที่หวังพวกเขาก็เลือกจะไปรับน้องแมวจรจากคาเฟ่อื่นที่ใกล้ ๆ เมือง ที่ที่มันสะดวกต่อการเดินทางมากกว่า”
เจ้าหล่อนเอ่ยบอกด้วยใบหน้าเศร้าหมอง...และเธอไม่ชอบเลยที่เห็นสีหน้าแบบนั้นของคนที่ยิ้มได้สดใสตั้งขนาดนั้น
เป็นเพราะเธอจดจำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าตัวเองยกยิ้มเพราะความสุขครั้งสุดท้ายเมื่อไร...เธอจึงจะยิ่งรู้สึกเศร้าหมองมาก ๆ หากคนที่ยิ้มอย่างสดใสเสมอมานั้นกำลังแสดงสีหน้าเศร้าหมองด้วยความหมดหวัง
“จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณนะคะ น้องแมวที่นี่รวมไปถึงตัวฉัน...รอต้อนรับคุณกลับมาที่นี่เสมอค่ะ”
ตึกตัก ตึกตัก
ไอบ้าหัวใจ...หล่อนคงจะพูดแบบนี้กับลูกค้าทุกคนนั่นแหละ!
เจ้าหล่อนยกยิ้มให้กันแผ่วเบา และเธอก็กลับมาคิดหนักกับการตัดสินใจอีกครั้ง พร้อม ๆ กับพยายามทำใจให้สงบกับประโยคนั้นของหญิงสาว
เหตุผลที่เจ้าหล่อนให้กันนั้นมันก็สมเหตุสมผลทุกประการจนเธอไม่มีทางอื่นใดเลยที่จะท้วงติง แม้ว่าตัวของเธอนั้นจะไม่ได้รับน้องแมวไปทำอะไรแบบนั้นอย่างที่เจ้าหล่อนได้เอ่ยเล่าก่อนหน้า แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของน้องแมวแล้ว...เธอก็เข้าใจเจตนารมณ์ของเจ้าหล่อนได้อย่างถ่องแท้
หากเธอกลับมาที่นี่จนครบหนึ่งสัปดาห์ เธอก็จะได้แมวกลับไปเลี้ยง...แต่มันก็แลกมากับความรู้สึกของเธอที่มันคงจะชัดเจนขึ้น ชัดเจนจนเธออาจจะห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกอะไรกับเจ้าหล่อนไม่ได้อีกต่อไป
แต่ถ้าหากเธอไม่กลับมาที่นี่อีก เธอก็จะไม่ได้รับน้องแมวกลับไปเลี้ยง...และความรู้สึกของเธอมันก็จะต้องหยุดลงที่ตรงนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นผลดีกับเธอที่ตั้งใจกับตัวเองแล้วว่าในอนาคตนั้นเธอจะเลือกเดินต่อไปอย่างไร
สมองกับหัวใจกำลังตีกันอย่างหนัก...
โดยที่เธออาจจะหลงลืมไปว่าหัวใจนั้นมันไม่อาจจะสั่งให้เลือกสิ่งใดได้...สมองเป็นคนสั่งการทุกอย่าง แต่เธอเพียงแค่เอาหัวใจมาอ้าง เพื่อที่ตัวเองจะได้มีข้ออ้างจอมปลอมกับการตัดสินใจของตนเองในครั้งนี้
ลองดูสักตั้ง...อย่างน้อยก็เพื่อน้องแมวแหละนะ
“ค่ะ ฉันจะกลับมา”
“เอ๊ะ?”
“หลังจากนี้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ฉันจะมาที่นี่ค่ะ”
“...”
“ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ...คุณเจ้าของร้าน”