Pream Part
.
“อึก!”
“คุณพรีม! ไหวไหมคะ นั่งก่อนค่ะ”
“ไหวค่ะแม่เพียร” ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนจะเอ่ยตอบอีกฝ่าย “สงสัยจะนอนน้อยไป”
“ก็คุณพรีมเล่นไปเยี่ยมคุณนงนาถเธอทุกวัน ไหนจะต้องไปทำงานอีก พักผ่อนน้อยถึงได้แบบนี้น่ะสิคะ” แม่เพียรบ่น ฉันได้แต่ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายบาง ๆ เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
เพียรหรือแม่เพียรที่ฉันเรียก เป็นแม่นมที่เลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็กจนฉันติดเรียกว่าแม่ไปแล้ว ส่วนคุณนงนาถที่แม่เพียรเอ่ยถึงก็หมายถึงคุณย่าของพี่มาเฟีย ที่ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลหลังจากผ่าตัดเส้นเลือดในสมองที่แตกเมื่อเดือนก่อน อีกสองอาทิตย์ท่านก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว แม้ว่าช่วงนี้ท่านจะมีนับดาว แฟนของพี่มาเฟียคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปเยี่ยมท่านทุกวัน คุณย่าเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ท่านดีกับฉันมาก แม้ตอนนี้ตระกูลของเราคงไม่ได้เกี่ยวดองกันแล้วแต่ฉันก็ยังเคารพนับถือท่านเหมือนเดิม
และพี่มาเฟียที่ฉันพูดถึงก็คือคู่หมั้นของฉันเอง
ส่วนฉัน พริมาตา หรือพรีม อายุยี่สิบเอ็ดปี แต่ตอนนี้เรียนจบแล้วจากออสเตรเลีย ที่ฉันเรียนจบไวเพราะฉันเข้าเรียนไวกว่าเกณฑ์ พอเรียนจบก็ถูกแนะนำให้ทำงานต่อที่นั่นทันทีเพราะต่อยอดทางสายงานได้มากกว่า แต่ฉันตัดสินใจกลับมาทำงานที่ไทยเพราะเรื่องหมั้นหมายที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นแค่อดีต ฉันไม่เสียดายที่ตัวเองตัดสินใจกลับมา เพราะจะได้เคลียร์บ่วงที่ผูดรัดไว้ออกเสียที จากนี้ไปฉันจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องมีคำว่าคู่หมั้นค้ำคอเหมือนเจ็ดปีที่ผ่านมา
“เป็นอะไรแม่พรีม ทำไมนั่งแบบนั้น”
“เปล่าค่ะคุณแม่” ฉันรีบนั่งหลังตรงทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณแม่ คุณพิมพ์นภา หรือคุณพิมพ์ที่คนในแวดวงคุณหญิงคุณนายรู้จักกันดีคือแม่ของฉันเอง ท่านอายุใกล้ห้าสิบปีเต็มทน แต่ยังคงสวยสง่าด้วยบุคลิกและการแต่งกายที่ดี ตระกูลของฉันเคยเป็นข้าหลวงในวังมาก่อน แม่ฉันเองก็เติบโตมาในวัง และทุกวันนี้ยังเข้าไปช่วยงานในนั้นเสมอ
และแน่นอนว่าคนที่เคยเติบโตมาในรั้วในวังจะไม่ชอบที่สุดเวลาเห็นคนในบ้านทำอะไรที่ไม่เรียบร้อย ท่านสั่งสอนเรื่องบุคลิกภาพ การพูดการจาตั้งแต่ลูกแท้ ๆ แบบฉันยันคนงานคนรับใช้ เพื่อคงเอกลักษณ์ความเป็นผู้ดีในบ้านหลังนี้ไว้ทุกระเบียบนิ้ว
“แล้วมีอะไร ถึงให้คนขึ้นไปแม่ให้ลงมาแบบนี้” ท่านถาม ก่อนจะนั่งลงโซฟาด้วยท่าทีสง่างามเช่นเคย
“แล้วคุณพ่อล่ะคะ”
“กำลังตามลงมา”
“อย่างนั้นรอคุณพ่อก่อนดีกว่าค่ะ”
“ตามใจ”
เราสองคนแม่ลูกนั่งเงียบกันอยู่แบบนั้นเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกันดี อันที่จริงแล้วฉันไม่ได้สนิทกับแม่มากนัก เพราะช่วงที่ฉันกำลังจำความได้ท่านต้องเข้าไปช่วยงานในวัง นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ฉันมีแม่นมซึ่งก็คือแม่เพียร และสนิทกับแม่เพียรมากกว่าแม่แท้ ๆ ของตัวเอง
“อยู่พร้อมหน้าเชียวสองแม่ลูก”
“คุณพ่อ”
“ให้คนตามพ่อลงมา มีอะไรหรือเปล่าเรา” พ่อเอ่ยถามพร้อมลูบผมฉันเบา ๆ พ่อฉันเป็นคนใจดี แม้งานจะยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักแต่ก็หาเวลาว่างให้ฉันได้เสมอ
“หนูมีเรื่องต้องแจ้งให้คุณพ่อและคุณแม่ทราบค่ะ”
“ว่ามาสิ”
“เรื่องหมั้น หนูกับพี่เฟียตกลงกันแล้วค่ะว่าจะยุติทุกอย่างลง”
“ว่ายังไงนะ!”
ฉันมองแม่ตัวเองด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยเห็นท่านขึ้นเสียงแบบนี้มาก่อน แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าท่านคงโกรธ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าท่านจะเสียงดังใส่แบบนี้
“นั่งลงก่อนพิมพ์ ฟังเหตุผลลูก” เวลานี้คนที่ใจเย็นที่สุดกลายเป็นพ่อของฉันเอง ท่านบอกให้แม่นั่งลงด้วยเสียงที่สุขม ก่อนจะหันมาหาฉันด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน “พ่ออยากรู้เหตุผลนะ”
“เราไม่ได้รักกันค่ะ”
“เหตุผลเด็ก ๆ ความรักมันไม่ได้ทำให้ชีวิตคู่ยั่งยืนหรอกนะพริมาตา” แม่เรียกชื่อจริงฉัน นั่นแปลว่าท่านกำลังไม่พอใจ
“แต่คนเราจะคบหาหรือแต่งงานกันได้ก็ต้องมีความรักก่อนไม่ใช่หรือคะ”
“เราถูกวางตัวให้เป็นคู่หมั้นกับมาเฟียมาตั้งเจ็ดปี ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เขาเลยเหรอลูก”
“หนูเคยคิดว่ารู้สึกค่ะคุณพ่อ แต่พอรู้ว่าพี่เฟียมีคนรักที่คบหากันอยู่แล้ว หนูกลับไม่รู้สึกเสียใจเลย ก็เลยมั่นใจว่าคงไม่ได้รักค่ะ” ฉันตอบพ่อตามความจริง เพราะตอนที่คุณย่าพี่มาเฟียโทรทางไกลมาเล่าให้ฟังเรื่องผู้หญิงที่ชื่อนับดาว ฉันไม่ได้รู้สึกเสียใจที่เขามีคนอื่น แต่ฉันแค่รู้สึกเสียหน้า และอยากเอาชนะเท่านั้น แล้วพอได้คุยกับพี่มาเฟีย ท่าทีหวงแหนแฟนตัวเองจนออกหน้าก็ยิ่งทำให้ฉันอยากเอาชนะเข้าไปอีก ก็เลยพูดจากไม่ดีรวมถึงขู่ให้อีกฝ่ายไปเลิกกับแฟนไป ซึ่งแน่นอนว่าพี่เฟียไม่มีทางทำตาม เพราะเขารักแฟนของเขาออกขนาดนั้น รัก...จนแม้แต่คุณย่ายังต้องยอมแพ้ ส่วนฉันเองก็ยอมแพ้ไปตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองไม่คู่ควรกับผู้ชายอย่างพี่มาเฟียอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้ฉันมันก็แค่ผู้หญิงที่มีรอยตำหนิคนหนึ่ง ไม่คู่ควรกับผู้ชายดี ๆ คนไหนทั้งนั้น
“คนรัก? นี่มาเฟียมีคนรักเหรอ?”
“ค่ะคุณแม่ หนูได้ไปเจอเธอมาแล้ว เธอเป็นคนดีและเข้ากับคุณย่าของพี่มาเฟียได้ทีเดียวค่ะ” ฉันบอกท่านด้วยรอยยิ้ม เพราะไปเยี่ยมคุณย่าทุกวันจึงได้เจอนับดาวหลายครั้ง ฉันอาศัยจังหวะที่พี่มาเฟียไม่อยู่แลกเบอร์โทรและช่องทางติดต่อกับเธอไว้ ได้พูดคุยกันเรื่อย ๆ ก็ถูกคอจนตัดสินในคบหากันเป็นเพื่อนกัน นับดาวไม่อยากให้เรียกพี่ เธอให้เหตุผลว่าอายุห่างกันแค่เพียงปีเดียวไม่ถือสาอะไรและอยากมีเพื่อนมากกว่าน้องสาว ฉันก็เลยได้เพื่อนเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
นับดาวเป็นเพื่อนคนที่สองที่ไม่ได้ถูกแม่คัดกรองให้ คนแรกคือแซนดี้ที่อยู่ออสเตรเลีย ฉันมีเพื่อนบ้างแต่ก็ต้องผ่านแม่ก่อนว่าเพื่อนคนนี้มีคุณสมบัติอะไรบ้าง พื้นฐานครอบครัวและการเลี้ยงดูเป็นแบบไหน เพราะท่านกลัวว่าถ้าได้เพื่อนไม่ดีจะทำให้ฉันเสียคน แต่ฉันรู้ดีว่าท่านแค่กลัวว่าฉันจะทำให้ชื่อเสียงตระกูลเสียหายมากกว่าห่วงฉันจริง ๆ
ซึ่งมันทำให้ฉันอึดอัด เพื่อนพวกนั้นวัน ๆ คุยกับแต่เรื่องงานบ้านงานเรือน หรือเรื่องเครื่องประดับ เรื่องข้าวของราคาแพงซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ฉันเป็น ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อยแม้ว่าแม่อยากจะให้เป็นแค่ไหน แต่ฉันเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกแม่บงการชีวิตอยู่เบื้องหลังก็แค่นั้น
“ทั้ง ๆ ที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วยังไปคบกับคนอื่น คุณป้านงนาถก็เห็นดีงามด้วย เห็นตระกูลฉันเป็นตัวอะไร”
“คุณแม่คะ ความรักมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะคะ”
“งั้นหรือ” แม่ว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “อย่างนั้นก็ตามใจแม่พรีมแล้วกัน ยังดีที่ไม่ได้จัดงานหมั้นใหญ่โตจนคนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองให้ต้องเสียหน้า เพราะถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงไม่มีทางยอม”
ฉันมองร่างสูงโปร่งของแม่ที่เดินออกจากห้องไป สุดท้ายท่านก็ห่วงแค่ชื่อเสียงตระกูลตัวเองตามเคย...
“พรีม อย่าโกรธแม่เขาเลย หนูก็รู้ว่าแม่เขาเป็นคนยังไง”
“ค่ะ..หนูรู้” ฉันตอบก่อนจะเอนศีรษะลงไปซบบนไหล่แกร่งที่แข็งแรงสำหรับฉันเสมอ “พ่อรักแม่มากเลยใช่ไหมคะ”
“รักสิ”
“รักจนถึงขั้นยอมให้หนูใช้แค่นามสกุลแม่เลยใช่ไหม”
“พรีม...”
พ่อฉันเป็นนักธุรกิจที่กำลังมาแรงในช่วงที่คบกับแม่ พ่อเล่าให้ฟังว่าเจอแม่ที่งานการกุศลและตกหลุมรักท่านทันที เทียวจีบอยู่เป็นปีแม่ถึงยอมคบหาด้วย และคบกันเกือบสามปีถึงตกลงแต่งงานกัน
เมื่อมีลูก ทางครอบครัวแม่ก็ไม่ยอมให้ฉันใช้นามสกุลพ่อ เพราะถึงแม้ว่าพ่อจะกลายเป็นนักธุรกิจชื่อดังและมั่นคงมากแค่ไหน แต่ก็สู้นามสกุลเก่าแก่ของทางแม่ไม่ได้ และด้วยความรักจึงทำให้พ่อยอมได้ทุกอย่าง ลูกสาวเพียงคนเดียวแบบฉันจึงได้ใช้แค่นามสกุลแม่อย่างไม่มีทางเลือก ฉันต้องแบกรับหน้าตาของวงศ์ตระกูลไว้ แค่เกิดมาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าห้ามทำอะไรก็ตามที่ทำให้นามสกุลที่ใช้อยู่เสียหาย และเพราะเรื่องของนามสกุลนี้ทำให้คุณปู่คุณย่าไม่ชอบใจในตัวฉันเท่าหลานคนอื่น ๆ ไปด้วย เพราะพวกท่านรู้สึกเหมือนโดนหักหน้า มีลูกชาย แต่พอลูกชายมีลูกกลับต้องให้ลูกไปใช้นามสกุลของฝั่งลูกสะใภ้
“หนูเหนื่อยจังค่ะ”
“พ่อขอโทษ”
ฉันหลับตาลง คำขอโทษของพ่อทำให้ฉันเจ็บปวดมากกว่าเดิม เพราะรู้ตัวดีว่ากำลังทำให้พ่อตัวเองรู้สึกผิดทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้ผิดอะไร
เรื่องนี้ถ้าจะมีคนผิด ก็คงเป็นฉันเองที่เกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์นี้