PLAYBOY : 5

2310 Words
Pream Part  . ก๊อก ก๊อก “คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เสียงเคาะกระจกที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ฉันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เมื่อกี้รู้สึกเวียนหัวหนักจนเผลอซบลงกับพวงมาลัย แต่หน้าผากเจ้ากรรมกลับไปโดนแตรรถเสียอย่างนั้น และเสียงแตรรถที่ดังลั่นแบบนั้นคงทำให้คนแตกตื่นไม่น้อยจนต้องมีคนเดินมาดูแบบนี้ “คุณครับ” “ค่ะ...” ฉันลดกระจกลงและเอ่ยตอบรับยามรักษาความปลอดภัยด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ไหวไหมครับ หน้าคุณซีดมากเลย” “ไหวค่ะ ขอฉันพักซักครู่นะคะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่เวียนหัวเท่านั้น” “ได้ครับ ๆ” ยามวัยกลางคนพยักหน้ารับก่อนจะเดินจากไป แต่ยังไม่วายหันกลับมามองเรื่อย ๆ ด้วยความเป็นกังวล และพอฉันเห็นตัวเองในกระจกก็ไม่แปลกใจเลยที่ลุงยามคนนั้นจะเป็นห่วง เพราะหน้าของฉันซีดขาวจนแทบจะไร้สีเลือดเหมือนคนป่วยหนัก “สองแสบ เล่นงานแม่หนักเลยนะวันนี้” ฉันลูบหน้าท้องแผ่วเบา เอ่ยดุลูกแต่ไม่ได้จริงจังมากนัก ก่อนจะแกะลูกอมรสเปรี้ยวที่แวะซื้อระหว่างทางเข้าปาก รสชาติเปรี้ยวจัดของมันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก ความพะอืดพะอมเริ่มจางหายไป ฉันจึงเอนกายลงกับเบาะรถพร้อมกับลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา “เด็กดี วันนี้แม่มีงาน อย่าเพิ่งรังแกแม่นักเลยนะลูก” วันนี้ฉันมีบรรยายเรื่องการเรียนต่อที่ออสเตรเลียที่มหาวิทยาลัยนี้ มันเป็นงานที่ใหญ่จนไม่กล้ายกเลิกแม้ร่างกายและจิตใจจะไม่พร้อมแค่ไหน และที่สำคัญงานนี้มีเรื่องของนามสกุลเข้ามาเกี่ยวข้อง... แม่เป็นคนสั่งให้ฉันมาบรรยายที่นี่เพราะอธิการบดีรู้จักกับแม่เป็นการส่วนตัว ฉันไม่อยากให้ตัวเองเป็นกลายคนที่ไร้ความรับผิดชอบในสายตาแม่ และนามสกุลที่วางอยู่บนบ่าไว้ทำให้ฉันต้องแบกร่างมาทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ต่อให้ใกล้จะตายฉันก็ต้องมา พอได้ลูกอมเปรี้ยว ๆ ร่างกายก็สดชื่นขึ้น เวลาที่ใกล้เที่ยงครึ่งเต็มทนเป็นสัญญาณว่าหมดเวลาพักผ่อนแล้ว ฉันหยิบเครื่องสำอางมาเติมใบหน้าให้พอมีสีสันขึ้นมาบ้าง ก่อนจะหยิบของสำคัญที่ต้องใช้และก้าวลงจากรถอย่างสง่างามตามที่ถูกสั่งสอนมา ตอนนี้ฉันเป็นพริมาตา ลูกสาวคนเดียวของตระกูลเก่าแก่และมีชื่อเสียงในประเทศไทย ไม่ว่าภายในฉันจะอ่อนล้าและพังแค่ไหน แต่ฉันก็ต้องดูดีและไร้ข้อผิดพลาดในสายตาของคนที่พบเห็น “สวัสดีค่ะ” ฉันเดินเข้าไปในตึกคณะ ก่อนจะเอ่ยทักเจ้าหน้าที่ที่นั่งทำงานอยู่อย่างสุภาพ โชคดีที่อาการเวียนหัวและพะอืดพะอมหายไปแล้วจึงสามารถพูดคุยได้ปกติ “สวัสดีค่ะ ติดต่อเรื่องอะไรคะ” “ที่จะมาบรรยายเรื่องการเรียนต่อที่ออสเตรเลียวันนี้ พริมาตาค่ะ” “อ๋อ คุณพริมาตา เดี๋ยวเชิญที่ห้องรับรองก่อนนะคะ” เจ้าหน้าที่สาวผายมือไปที่ห้องที่มีป้ายติดไว้ว่าเป็นห้องรับรอง ก่อนจะบอกให้ฉันไปนั่งรออยู่ในนั้น ฉันทำตามอย่างว่าง่าย เพียงแค่หย่อนกายลงนั่งน้ำเย็น ๆ ก็ถูกเจ้าหน้าที่คนเดิมยกมาเสิร์ฟ ฉันส่งยิ้มให้อย่างขอบคุณ ก่อนจะหันมาสนใจงานตัวเองต่อ ฉันเปิดโน้ตบุ๊คคู่ใจขึ้นเพื่อเช็กพรีเซนเทชั่นว่ามีอะไรต้องปรับแก้หรือเปล่า เมื่อเช็กจนแน่ใจแล้วจึงหยิบมือถือขึ้นมาท่องไปตามโลกอินเตอร์เน็ตเพื่อฆ่าเวลาและขจัดความฟุ้งซ่านของตัวเอง .​ itsmenapdao : ทำไมเป็นคนมือใหญ่ @fiamafia fiamafia : มือใหญ่จะได้ไว้กุมมือคนแถวนี้ @itsmenapdao .​ ฉันอมยิ้มให้กับคู่รักแห่งปีที่พอคืนดีกันก็หวานจนเพื่อนพากันแซวเต็มไปหมด ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่านับดาวและพี่มาเฟียเป็นดาวและเดือนที่ดังมาก แม้แต่ละปีจะมีดาวเดือนใหม่ ๆ แต่ก็ยังไม่มีใครลบกระแสของสองคนนี้ได้ ไม่ใช่ดังแค่ในมหาวิทยาลัย แต่แม้แต่คนนอกก็รู้จัก จะว่าเป็นเน็ตไอดอลก็ไม่เชิง เรียกว่าเป็นคนหล่อสวยที่มีคนรู้จักมากมายดีกว่า อินสตราแกรมของทั้งสองมีคนติดตามเกือบห้าแสนคน และส่วนมากก็ลุ้นให้สองคนนี้ลงเอยกันทั้งนั้น พอนับดาวกับพี่มาเฟียเปิดเผยว่าคบกัน เหล่าคนที่เชียร์ก็ดูจะชอบออกชอบใจใหญ่ นับดาวเล่าให้ฟังว่าถึงกับมีคนสร้างเพจคู่ยอดติดตามตั้งหลายหมื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าคนรักคู่นี้มากแค่ไหน แต่ก็ไม่แปลก...เพราะไม่ว่าจะมองกี่ครั้งนับดาวและพี่มาเฟียก็เหมาะสมกันมากจริง ๆ ฉันไล่อ่านคอมเมนต์ที่เข้ามาแซวสองคนฆ่าเวลาเพลิน ๆ เวลาที่รู้สึกแย่ ๆ ได้อ่านอะไรที่มันน่ารักแบบนี้ทำให้ผ่อนคลายและยิ้มได้จริง ๆ แต่แล้วชื่ออินสตราแกรมของคน ๆ หนึ่งก็ทำให้รอยยิ้มของฉันจางหายไป . chrisxxd : อิจฉาคนมีแฟนว่ะ . พอกดอ่านคอมเมนต์ย่อยก็เห็นว่ามีสาว ๆ น่ารัก ๆ หลายคนมาเสนอตัวเป็นแฟนเขาเกือบร้อยคอมเมนต์ ฉันกดปิดแอพนั้นลงทันที ไม่อยากเห็น ไม่อยากสนใจ ความสัมพันธ์แค่คืนเดียวมันควรจะจบลงถาวรและไม่ควรมาพบเจอกันอีก แต่เพราะผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทของพี่มาเฟีย ช่วงที่ฉันไปเยี่ยมคุณย่าจึงได้เจอเขาบ่อย ๆ ตอนที่เจอกันครั้งแรกเขาทำเหมือนไม่รู้จักฉัน ฉันเองก็ทำเหมือนไม่รู้จักเขา เราสองคนแทบจะไม่มีพิรุธให้ใครเห็นเลยว่าเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยกันมาก่อน แม้บางครั้งมันจะอึดอัดไปบ้างที่ต้องแสร้งคุยกันเพื่อไม่ให้คนสงสัย แต่ก็ยังดีกว่าให้คนอื่นมารับรู้เรื่องน่าอายแบบนั้น แต่เมื่อกี้ที่เจอเขาที่โรงพยาบาลฉันตกใจมากจริง ๆ ถ้าเจอในเวลาปกติฉันคงทำเป็นไม่รู้สึกอะไรเหมือนที่ผ่านมาได้ แต่พอมาเจอหลังจากรู้ว่าตัวเองกำลังอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ฉันเลยทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าเขาเห็นรูปอัลตราซาวน์หรือเปล่า แต่ถ้าเขาเห็นฉันก็ได้แต่ภาวนาให้เขาคิดว่าฉันท้องกับคนอื่น ไม่ได้ท้องกับเขา ฉันไม่มีวันกลายเป็นผู้หญิงไร้ศักดิ์ศรีที่ไปอ้อนวอนขอความรับผิดชอบจากใครเด็ดขาด ให้เขาไม่รู้ว่ากำลังจะมีลูกแหละดีแล้ว ลูกแค่สองคนฉันเลี้ยงได้ “คุณพริมาตาคะ พร้อมหรือยังคะ” “คะ...ค่ะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอด วันนี้เป็นครั้งแรกที่จะได้มาบรรยายอะไรที่เป็นการเป็นงานแบบนี้ และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นต้องลืมเรื่องที่ทำให้เสียสมาธิและทำหน้าที่ออกมาให้ดีที่สุด “พักเบรกสิบนาทีนะคะ” สิ้นเสียงนักศึกษาก็พากันเดินออกไปนอกห้องเหมือนผึ้งแตกรัง การบรรยายชั่วโมงแรกผ่านไปด้วยดี นักศึกษาที่นี่ให้ความสนใจรวมถึงถามตอบเป็นอย่างดีฉันเลยใจชื้นขึ้นมาบ้าง “อย่ามาขี้โม้น่ายัยโบตั๋น” “เรื่องจริงย่ะ” ฉันหันไปมองสองนักศึกษาที่ยังนั่งอยู่ในห้องประชุม พวกเธอคุยกันเสียงดังจนฉันสามารถได้ยินครบทุกประโยค คงคิดว่าไม่มีใครอยู่ในนี้สินะ... แต่ช่างเถอะ ฉันเบนหน้ากลับมาสนใจเครื่องดื่มของตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องของฉันก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ “ไหนแกบอกว่าพี่คริสเขาเป็นญาติ” แต่ชื่อที่หลอกหลอนอยู่ในสมองมานานก็ทำให้ฉันชะงักมือที่กำลังยกถ้วยชาขึ้น ก่อนจะหันไปมองนักศึกษาสองคนนั้นอีกครั้ง “เป็นญาติห่าง ๆ ไม่มีสายเลือดเดียวกัน” “แกก็เลยจะจับเขา” “แร๊งงงงง” แม้จะพูดแบบนั้นแต่นักศึกษาที่ชื่อโบตั๋นก็หัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบอกชอบใจ “ผู้ชายที่หล่อ เรียนเก่ง บ้านรวย สุภาพ รักครอบครัวแบบนั้น ใครไม่อยากได้บ้างล่ะยะ” “แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าพี่คริสเจ้าชู้จะตาย ขนาดอยู่คนละมหาวิทยาลัยชื่อเสียงยังดังมาถึงนี่” “ผู้ชายเจ้าชู้นี่แหละ สนุก” “แล้วเธอมั่นใจได้ไงว่าเขาจะเอาเธอ” “มั่นใจสิ” สายตาคนที่ชื่อโบตั๋นฉายแววมั่นใจเกินร้อย “วันนี้เขาจับ วันต่อไปก็คงจูบ และหลังจากนั้นก็...คิกคิก ฉันไปเข้าห้องน้ำดีกว่า ไปไหมยัยนิ้ง” “ไปสิไป” บทสนทนาทั้งหมดจบลงพร้อมร่างทั้งสองที่พากันเดินออกจากห้องประชุมไป ทิ้งให้ฉันมองตามด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย คนชื่อคริสมีเป็นแสนบนโลกใบนี้ คงไม่ใช่เขาหรอก . .​ “เรียนต่อต่างประเทศไม่ยากเลย ถ้าคุณได้ภาษา ยิ่งได้ภาษาของเขายิ่งช่วยคุณได้มาก แต่เพราะแค่เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มก็ยากมากแล้ว ประเทศที่พี่แนะนำจึงเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักมากกว่าประเทศที่มีภาษาประจำชาติ ซึ่งออสเตรเลียเป็นประเทศที่น่าสนใจนะคะ” “...” “โดยเฉพาะที่ที่พี่เคยอยู่ ซิดนีย์ เป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย รับรองได้ว่าไม่มีทางเหงาหรือคิดถึงประเทศไทยแน่ ๆ เพราะเดินผ่านที่นั่นร้อยคนแทบจะเจอคนไทยอย่างน้อยหนึ่งคนด้วยซ้ำ ร้านอาหารไทยก็มีมากจนเลือกทานไม่ถูก น้อง ๆ ที่เรียนเอกภาษาอังกฤษควรลองไปเรียนภาษาที่นั่นดู เพราะมันต่างกับตอนเรียนที่ไทยแน่นอน แต่ถ้าไม่มีงบ... ทุนมากมายรอพวกคุณอยู่ค่ะ พี่เป็นกำลังใจให้ทุกคน ภาษาอังกฤษไม่ยาก แค่ต้องฝึกฝนและให้เวลากับมัน ขอบคุณค่ะ” แปะ แปะ แปะ เสียงปรบมือที่ดังกึกก้องทำให้ฉันยิ้มออกมา ภารกิจที่แสนท้าทายจบลงไปด้วยดี หลังจากนั้นก็มีน้อง ๆ หลายคนเข้ามาขอถ่ายรูปกับฉันไว้เป็นที่ระลึกและฉันไม่คิดจะปฏิเสธ กว่าทุกอย่างจะเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเกือบสี่โมงเย็น ท้องฉันส่งเสียงประท้วงเบา ๆ ว่าหิว แต่เพราะวันนี้ต้องกลับไปคุยเรื่องสำคัญกับทางบ้านจึงต้องหิ้วท้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน “ทนหน่อยนะคนดี” ฉันลูบท้องตัวเองเบา ๆ เพื่อปลอบลูกน้อยที่ดูท่าจะหิวน่าดู แรกเริ่มมันตกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งท้องแถมยังเป็นลูกแฝดอีก แต่พอได้สติฉันก็เลิกเครียดเพราะรู้ดีว่าถ้าแม่เครียดจะส่งผลต่อลูก เรื่องมันเกิดไปแล้วตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือยอมรับมัน ลูกสำหรับฉันไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายหรือเป็นตราบาป แต่พวกเขาคือของขวัญ... แม้จะมาผิดเวลาไปหน่อยแต่ยังไงลูกก็คือลูก แม้จะยังไม่ไ้ด้เห็นหน้าแต่ก็เหมือนว่าฉันจะตกหลุมรักพวกเขาไปแล้ว... “คุณพรีม” เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปในบ้าน แม่เพียรเดินออกมาจากฝั่งของห้องครัวด้วยรอยยิ้มกว้าง “แม่เพียร คิดถึงจังค่ะ” “ปากหวานนะคะวันนี้ หิวหรือยังคะ” “หิวม๊ากมากแล้วค่ะ” ฉันกอดเอวหนา ๆ ของแม่เพียรพลางเดินเข้าบ้าน “วันนี้อยากกินแกงส้มมากเลยค่ะ แม่เพียรได้ทำไว้หรือเปล่าคะ” “ตายจริง ไม่รู้ว่าคุณพรีมอยากทานแกงส้ม รอได้หรือเปล่าคะจะรีบทำให้” “รอได้ค่ะ อย่างไรคุณแม่ก็ให้ตั้งโต๊ะทุ่มหนึ่งอยู่แล้ว” ฉันตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ตอนนี้ขอน้ำส้มสด ๆ ไม่ต้องใส่อะไรผสมเลย แล้วก็คุกกี้ให้พรีมก่อนนะคะ หิวมากจริง ๆ” “ได้ค่ะ” ฉันส่งยิ้มให้แม่เพียรก่อนจะลงบนโซฟา และใช้มือลูบลงบนท้องที่ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากเบา ๆ พอรู้ว่าในนี้มีเด็กสองคนกำลังเจริญเติบโตอยู่ฉันก็เผลอลูบท้องตัวเองทั้งวัน เหมือนจะเห็นอนาคตตัวเองราง ๆ แล้วว่าต้องเห่อลูกมากแน่ ๆ “หลังจากนี้พวกหนูต้องเป็นเด็กดี ห้ามประท้วงแม่นะรู้ไหม เดี๋ยวคุณตากับคุณยายรู้เข้าแม่จะถูกดุเอาได้” ฉันกระซิบเบา ๆ ก่อนจะขำออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลูกคงไม่ได้ยิน ถึงได้ยินก็คงไม่เข้าใจ ไม่รู้ตอนนี้มีตามีปากมีจมูกมีหูหรือยังด้วยซ้ำ “หัวเราะอะไรคะคุณพรีม” เสียงทักของแม่เพียรทำให้รีบดึงมือออกจากหน้าท้อง ก่อนจะตอบคำถามนั้นด้วยรอยยิ้ม “เปล่าค่ะ คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” “ดูอารมณ์ดีนะคะ” “ได้กลับบ้านก็ต้องอารมณ์ดีอยู่แล้วค่ะแม่เพียร” “ดีแล้วค่ะ อย่างนั้นดิฉันขอตัวไปทำแกงส้มให้คนอารมณ์ดีก่อน อย่าทานของว่างเยอะนะคะ ประเดี๋ยวจะทานข้าวเย็นไม่ลง” “ค่า” ฉันตอบรับเสียงยานคาง ก่อนจะลงมือทานของว่างตรงหน้าด้วยความหิวที่ไม่รู้ว่าตัวเองหิวหรือลูกหิวกันแน่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD