bc

Mia's diary บันทึกลี้ลับของมีอา

book_age12+
0
FOLLOW
1K
READ
scary
medieval
like
intro-logo
Blurb

หลังประสบภัยแล้งอย่างหนัก บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่ทางด้านการเงิน จนใกล้ถูกรื้อถอน

ดังนั้น 'มีอา ฮอปกินส์' หญิงสาวผู้เป็นพี่คนโตผู้ใจดีและขยันขันแข็ง จึงดั้นด้นหางานในเมืองหลวงเพื่อจะนำเงินมาช่วยกู้วิกฤตให้ได้

ทว่า....งานที่เดียวที่ตอบรับเธอมา กลับเป็นงานครูพี่เลี้ยง ที่ต้องเข้าไปสอนคุณชายน้อยวัย 12 ขวบผู้มีอารมณ์โมโหร้ายและไม่ชอบเข้าสังคม ในคฤหาสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยข่าวลืออันแปลกประหลาด

ว่ากันว่ามีคนที่เข้าไปทำงานในนั้นแล้วหายตัวไปอย่างลึกลับ.....

และสถานที่แห่งนั้นก็มีประวัติที่ยาวนานหลายชั่วอายุคน จนเต็มไปด้วยคำสาป และอาถรรพ์แก่ผู้มาเยือน.....

อีกทั้งยังมีปีศาจร้ายอีกนานัปการที่คอยออกมาหลอกหลอน และทำร้ายผู้คนที่เข้าไปในคฤหาสถ์หลังนั้น...

แต่ถึงแม้จะน่ากลัวเพียงไร สำหรับมีอาแล้ว เธอก็ยินยอมที่จะไปเสี่ยงตายที่นั่น เพื่อจะหาเงินก้อนโตมาให้เด็กๆทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

1 ปีในคฤหาสถ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร มีเพียงบันทึกของเธอเท่านั้นที่จะเล่าความจริงอันน่าสะพรึงกลัวทั้งหมดได้.....

chap-preview
Free preview
Chapter 1 : งานใหม่กับลางร้าย
แสงแดดอันแสนอบอุ่นในยามเช้า สาดส่องกระทบผ่านบานหน้าต่างเข้ามาภายในห้องนอน ราวกับต้องการปลุกหญิงสาวที่กำลังนอนหลับสบายบนเตียงให้ตื่นจากการหลับใหล หญิงสาวเจ้าของเรือนร่างเพรียวบางขยับตัวบิดขี้เกียจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง พลางเสยผมหยักศกสีแดงอมส้มที่ยาวสยายจนถึงเอวให้เข้าที่ จากนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วรีบขมวดมวยผมด้วยความคล่องแคล่วก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ใช้เวลาไม่นานนักเธอก็เดินกลับมาใหม่พร้อมกับสวมเดรสสีเขียวตัวเก่งเรียบร้อย ในจังหวะนั้นเองนัยน์ตาสีเขียวมรกตของเธอก็กวาดมองไปพบกับซองจดหมายฉบับนึงที่ถูกนำมาเสียบวางลอดไว้ใต้ประตูห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หญิงสาวเลยเดินตรงเข้าไปเก็บมันขึ้นมาด้วยความสงสัย ‘เมื่อคืนนี้ยังไม่มีเลย หรือคุณแม่อธิการจะเป็นคนเอามาวางไว้ให้นะ?’ หญิงสาวคิดพร้อมกับพลิกจดหมายดูคร่าวๆ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่าซองจดหมายฉบับนี้ถูกประทับตราสัญลักษณ์รูปหมาสามหัวสีดำ ซึ่งเป็นตราประจำตระกูลอันเก่าแก่ของท่านแกรนด์ดยุคกำกับเอาไว้บนซอง เธอจึงไม่รอช้ารีบตรงไปที่โต๊ะข้างเตียงแล้วเปิดลิ้นชักนำมีดออกมากรีดเปิดซองจดหมายอย่างรวดเร็ว แล้วรีบอ่านเนื้อหาด้านในตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความตื่นเต้น จนดวงตาสีเขียวมรกตของเธอเปล่งประกายสั่นไหวไปมา ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! ทว่าจู่ๆเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวจึงละสายตาออกจากจดหมาย แล้วเดินออกไปเปิดประตูต้อนรับแขกที่มาหาเธอแต่เช้าตรู่แทน แล้วเธอก็ได้พบกับเด็กหญิงถักเปียตัวน้อยที่กำลังยืนยิ้มร่ารอเธออยู่หน้าห้อง พร้อมกับเด็กชายผมดำอีกคนที่กำลังยืนกอดถุงมันฝรั่งรอเธออยู่เช่นกัน “พี่มีอา หนูหิวแล้วค่ะ พวกเราไปทำข้าวเช้ากินกันเถอะค่ะ!” เด็กหญิงตรงหน้าเอ่ยชวนเสียงเจื้อยแจ้ว พร้อมกับโผเข้ามากอดขาเธอผู้เป็นเจ้าของชื่อ ‘มีอา’ ก่อนที่เด็กชายคนข้างๆจะเอ่ยขึ้นมาบ้างด้วยความกังวล “แต่ว่านี่เป็นมันฝรั่งถุงสุดท้ายที่เรามีแล้วนะครับ นอกนั้นเสบียงในคลังก็หมดแล้ว เย็นนี้พวกเราไปขอผักจากหมู่บ้านข้างๆกันเถอะ” พอได้ยินแบบนั้น หญิงสาวร่างบางก็ยิ้มกว้าง ก่อนจะลูบหัวทั้งคู่ด้วยความเอ็นดู “รู้แล้วจ้า เดี๋ยวพี่จะรีบลงไปที่ครัวนะ ส่วนปีเตอร์ไม่ต้องกังวลไปหรอกจ้ะ เพราะว่า…” เธอหยุดพูดไปครู่นึงพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะโผเข้ากอดเด็กๆแน่นแล้วพูดต่อ “สัปดาห์หน้าเป็นต้นไปเราจะมีเนื้อกินกันทั้งสัปดาห์เลยล่ะ!” พอได้ยินแบบนั้น เด็กน้อยทั้งคู่ในอ้อมกอดก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง “จริงเหรอคะพี่มีอา นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมคะ?” “หรือว่า…พี่มีอาได้งานที่เมืองหลวงแล้วเหรอครับ!” เด็กๆต่างแย่งกันพูดจนมีอาหัวเราะแล้วพยักหน้ารับรัวๆ “ใช่แล้วจ้ะ เพราะงั้นลงไปรอที่ครัวกันก่อนเลย เดี๋ยวพี่จะไปพบแม่อธิการก่อนแล้วตามไปทำข้าวเช้าให้นะ ไว้เจอกัน” เธอตอบพร้อมกับคลายอ้อมกอดแล้วดันไหล่ให้เด็กทั้งสองคนเดินนำไปข้างหน้า ก่อนจะรีบโบกมือให้ทั้งคู่แล้วรีบเดินหายลับไปอีกทางด้วยสีหน้าเบิกบาน ท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจของเหล่าเด็กน้อยที่กำลังกระโดดกอดกันอยู่ด้านหลัง …………………………………………………. สักพักหญิงสาวร่างบางก็เดินไปถึงหน้าห้องคุณแม่อธิการ เธอเคาะประตูเพียงชั่วครู่อีกฝ่ายก็เรียกให้เข้าไปด้านใน เธอจึงรีบเข้าไปหาเจ้าของห้องถึงโต๊ะทำงาน แล้วนำจดหมายส่งให้ดูพร้อมกับขออนุญาตไปทำงานที่นั่น หลังจากที่เธอยืนรอคำตอบอยู่สักพัก อีกฝ่ายที่กำลังพลิกดูจดหมายไปมา ก็พูดขึ้น “ดูเหมือนตราประทับนี่จะเป็นของจริงเสียด้วย ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ” หญิงชราในชุดแม่ชีสีดำที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกประหลาดใจ พร้อมกับกระชับแว่นพกข้างขวาเพื่อตรวจดูเอกสารในจดหมายซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ โดยที่ใบหน้าซึ่งยังคงเหลือเค้าความงามในวัยสาวภายใต้ผ้าคลุม กลับขมวดคิ้วขึ้นมา “แล้วนี่หนูจะไปทำงานที่นี่จริงๆรึ มีอาที่รัก” แม่ชีชราเอ่ยถาม หลังจากที่ตรวจสอบจดหมายรับเข้าทำงานของเธอเสร็จแล้ว “แน่นอนค่ะ ทางนั้นเขาให้ค่าจ้างสูงมาก แถมเป็นงานครูพี่เลี้ยงที่หนูถนัดด้วยนะคะ แค่สอนหนังสือกับคอยดูแลลูกชายวัย 12 ขวบของท่านแกรนด์ดยุคเองค่ะ” หญิงสาวที่ยืนรอคำตอบอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ตอบกลับด้วยสีหน้ามั่นใจ แต่นั่นกลับทำให้อีกฝ่ายต้องแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาแทน “เรื่องนั้นแม่รู้ดีเลยล่ะมีอา แต่ว่าหนูต้องเข้าเมืองหลวงไปทำงานที่นั่นถึง 1 ปีเต็มเลยนะ” คุณแม่อธิการพูด หญิงสาวจึงรีบตอบรับ “ไม่มีปัญหาค่ะ ทางนั้นระบุมาด้วยว่ามีที่พักและสวัสดิการต่างๆให้ตลอดการทำงาน ทางเราไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเลยสักเพนนีค่ะ" ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น แม่ชีชราก็รู้สึกโล่งอกขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกหายห่วงเต็มที่ไม่ได้อยู่ดีจึงพูดต่อ “ฟังดูเป็นเงื่อนไขที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าเป็นทุกทีแม่คงไม่ห้าม แต่ว่า…คฤหาสถ์ที่หนูจะไปทำงานมันมีข่าวลือที่ไม่ดีเท่าไหร่น่ะสิ” “ข่าวลือ..อะไรเหรอคะ?” หญิงสาวร่างบางถามด้วยความสงสัย คุณแม่อธิการจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างครู่นึงพร้อมกับเล่าให้ฟัง “คนที่มาโบสถ์ลือกันว่าคฤหาสถ์หลังนั้นมีอาถรรพ์แก่ผู้มาเยือน ว่ากันว่าพื้นที่ดินตรงนั้นอยู่มานานหลายชั่วอายุคน และมีคำสาปแก่ทุกคนที่เข้าไป บ้างก็ว่าคำสาปมาจากคนในตระกูลนั้น บ้างก็ว่ามาจากปีศาจร้ายในนั้น” แม่ชีชราพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ ก่อนจะพูดต่อ “ซึ่งถ้าเป็นแค่ข่าวลือแม่คงไม่คิดอะไร แต่ช่วงนี้มีข่าวมาว่ามีคนที่เข้าไปทำงานในนั้นแล้วหายตัวไปอยู่หลายราย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครตามตัวพบเลย แล้วทางการก็ตามเรื่องนี้กับตระกูลนั้นไม่ได้เพราะพวกเขามีอำนาจเป็นรองแค่เพียงราชวงศ์เท่านั้น” พอได้ยินข่าวลือที่ฟังดูอันตรายแบบนั้น หญิงสาวก็รับรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลในงานนี้แน่ๆ เพราะปกติคุณแม่อธิการจะไม่เคยออกตัวห้ามอะไรจริงจังขนาดนี้มาก่อน ทว่า… ระหว่างที่หนักใจอยู่ สายตาของมีอาก็เลื่อนไปเห็นสมุดบัญชีรายจ่ายที่มียอดค้างชำระมากมาย ซึ่งคุณแม่อธิการกำลังเขียนค้างเอาไว้ ถูกวางซ้อนทับกับจดหมายถูกแจ้งให้ย้ายออกอยู่บนโต๊ะทำงานพอดี เมื่ออีกฝ่ายเห็นแบบนั้น..แม่ชีชราจึงรีบเอามือดันสมุดกับจดหมายกองนั้นให้ไปอยู่ด้านหลังแทนราวกับไม่ต้องการให้เธอเห็น “แม่คะ หนูรู้นะว่าตอนนี้บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าของพวกเรากำลังลำบากหนัก ขอให้หนูได้ช่วยคุณแม่เถอะค่ะ” หญิงสาวร่างบางเอ่ยทันทีด้วยน้ำเสียงจริงจัง พร้อมกับพูดต่อ “ปีนี้พวกเราเจอหน้าแล้งหนักกว่าทุกครั้ง ค่าใช้จ่ายก็ฝืดเคืองหนัก ถ้าไม่ได้คุณแม่ช่วยบริหารป่านนี้พวกหนูคงไม่มีที่อยู่แล้ว” ใช่แล้ว…. เพราะเธอเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าหลังจากที่หมู่บ้านเจอภัยแล้งมาเป็นแรมปี บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ที่เธออยู่มาแต่เกิดก็ต้องเจอปัญหาหนัก เสบียงก็ร่อยหรอแทบไม่เหลือ แถมค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น จนสุดท้ายมิชชันนารีที่คอยสนับสนุนก็เลิกช่วยเหลือไปแล้ว และคงต่อสัญญาเช่าที่ตรงนี้ได้อีกไม่นาน ซึ่งหากหญิงสาวไม่ลงมือหางานดีๆทำในเวลานี้ล่ะก็… ไม่ช้าในอาทิตย์หน้า บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ก็คงถูกยึด และพวกเธอที่เป็นเด็กกำพร้าทั้งหมดก็คงต้องถูกไล่ออก ‘แถมสมัครงานไปตั้งหลายที่ แต่ดันมีแค่งานนี้ที่ตอบรับมาที่เดียว แถมยังค่าจ้างสูงลิ่วจนพลิกสถานการณ์เลวร้ายได้ทั้งหมดเลยด้วย' มีอาคิดในใจ ในขณะที่แม่ชีชรากลับทำสีหน้าหนักใจยิ่งกว่าเดิมก่อนจะเอ่ยปากขอร้อง “มีอา ยังไงหนูก็เหมือนลูกคนสำคัญ แม่เข้าใจความรู้สึกหนูดี แต่งานนี้มันอันตรายเกินไปจริงๆ รับงานอื่นแทนเถอะนะ” พอได้ยินแบบนั้น หญิงสาวผมสีแดงอมส้มก็หยุดชะงักไปครู่นึง ก่อนจะเม้มปากแล้วก้มหน้าเงียบกริบนิ่งคิดอยู่สักพัก ใช้เวลาไม่นานนัก…เธอก็ตัดสินใจมองไปที่อีกฝ่ายอย่างจริงจังอีกครั้งแล้วเอ่ยออกไปตรงๆ “ไม่ค่ะ หนูจะรับงานนี้ หนูคงทนไม่ได้จริงๆที่จะต้องเสียบ้านหลังนี้ที่หนูอยู่มาแต่เกิดและต้องแยกย้ายจากพวกเด็กๆไป ที่สำคัญ…ถ้าคุณแม่ถูกส่งกลับมิชชันนารีไป เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลยก็ได้ หนูไม่ยอมหรอกค่ะ!” หญิงสาวยื่นคำขาดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าทุกครั้ง คราวนี้คุณแม่อธิการเลยเป็นฝ่ายเงียบกริบแทน ทั้งคู่ต่างเงียบแล้วจ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่ จนสุดท้าย…แม่ชีชราก็เป็นฝ่ายยอมแพ้เมื่อเห็นในความตั้งใจของมีอา “แม่เข้าใจแล้วมีอา ทำตามที่ต้องการเถอะ แต่อย่าลืมเขียนจดหมายส่งมาให้แม่ทุกเดือนนะ” เมื่อเห็นว่าคุณแม่อธิการยอมรับแล้ว หญิงสาวร่างบางก็รีบยิ้มกว้างออกมาทันทีด้วยความดีใจที่ขอร้องได้สำเร็จ “ขอบคุณมากค่ะคุณแม่! หนูจะไม่ลืมเขียนจดหมายมาหาเด็ดขาดค่ะ” เธอรีบตอบรับทันที แม่ชีชราในชุดสีดำจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินออกจากโต๊ะเข้ามากอดเธอตรงๆด้วยความเป็นห่วง แล้วหลังจากที่พูดคุยต่อกันอีกสักพัก หญิงสาวก็โค้งให้อีกฝ่ายพร้อมกับขอตัวลงไปทำข้าวเช้าให้พวกเด็กๆที่รออยู่ในห้องครัวด้านล่าง ก่อนจะเปิดประตูเดินออกจากห้องไป …………………………………………………. สามวันหลังจากนั้น หญิงสาวผมสีแดงอมส้มก็วิ่งวุ่นตลอดทั้งวันไปกับการดูแลเด็กๆ และเดินทางไปหาเสบียงมาสำรองให้ที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ โดยไม่ลืมที่จะไปบอกลาพวกคนในหมู่บ้านและพวกเด็กๆที่เธอเคยดูแลมาตลอดเรื่องที่ต้องย้ายไปทำงานในเมืองหลวง ซึ่งกว่าเด็กๆจะยอมเข้าใจก็ใช้เวลากล่อมอยู่นานทีเดียว จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกที ก็ถึงคืนวันก่อนเดินทางแล้ว ดังนั้นเธอจึงรีบจัดเตรียมเสื้อผ้าและของจำเป็นลงกระเป๋าเรียบร้อย และรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อที่วันรุ่งขึ้นจะได้ออกเดินทางแต่เช้า ทว่าในกลางดึกคืนนั้นเอง… ในระหว่างที่ความมืดมิดยามราตรีเข้าปกคลุมมิดทั่วทั้งท้องฟ้า ความเงียบสงัดก็เข้าปกคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้าน สายลมอันเย็นเยือกอันไร้ที่มาได้พัดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนที่เปิดอ้าไว้ ทำให้หญิงสาวร่างบางที่กำลังนอนหลับสนิทสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางคันด้วยความตกใจ พลางกวาดนัยน์ตาสีเขียวมรกตไปทางผ้าม่านสีชาที่กำลังพริ้วไหวอยู่ตรงหน้าต่างด้วยความแปลกใจ ‘แปลกจริงๆ ปกติไม่เคยมีลมแบบนี้ในหน้าแล้งเลยนะ’ มีอาคิด พร้อมกับเดินลงจากเตียงเพื่อจะไปปิดหน้าต่าง กุบกับ… กุบกับ… กุบกับ…. ทว่าในจังหวะที่เอื้อมมือไปด้านนอกเพื่อจะปิดบานหน้าต่างนั่นเอง เธอก็ได้ยินเสียงควบม้าดังกึกก้องขึ้นมาจากถนนด้านล่างที่เงียบสงัด นั่นจึงทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัย ว่าเหตุใดในยามวิกาลเช่นนี้ จึงยังมีคนเดินทางสัญจรเข้ามาในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลแห่งนี้ หลังจากที่มีอายืนเงี่ยหูฟังอยู่ชั่วครู่ พร้อมกับมองกวาดตาไปยังด้านล่างเพื่อหาที่มาของเสียงอยู่สักพัก ไม่นานนักเธอก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งควบม้ามาจากในความมืด ตรงเข้ามายังถนนในหมู่บ้าน บุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะอัศวินสีดำทั้งตัว มือซ้ายของเขากุมบังเ**ยน ส่วนมือขวาถืออะไรบางอย่างที่กำลังส่องแสงสว่างสีเขียวเรืองรองในความมืดราวกับเป็นตะเกียงนำทาง เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวจึงแอบมองอีกฝ่ายต่อไปด้วยความสงสัย บุรุษในชุดอัศวินสีดำผู้นั้นได้ควบม้าไปตามทางในความมืดแล้วหยุดจอดตามหน้าบ้านต่างๆภายในหมู่บ้าน บางหลังเขาก็จะมองจ้องเข้าไปภายในบ้านอยู่ชั่วครู่ ในขณะที่บางหลังเขาก็จะควบม้าผ่านไปเลย ซึ่งการกระทำอันแปลกประหลาดของผู้มาเยือนคนนี้ทำให้เธอที่คอยมองอยู่รู้สึกเสียวสันหลังวาบแปลกๆ ทว่าแสงสีเขียวที่ส่องสว่างในความมืดนั่นกลับทำให้มีอารู้สึกไม่ดียิ่งกว่า ‘แปลกจริงๆ… เลิกมองแล้วรีบเข้านอนดีกว่า’ หญิงสาวคิด พร้อมกับกำลังจะปิดหน้าต่าง ทว่าในจังหวะนั้นเอง จู่ๆบุรุษแปลกหน้าคนนั้นก็ควบม้าผ่านมายังถนนหน้าบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้พอดี และจากระยะเพียงเท่านี้ทำให้หญิงสาวมองเห็นลักษณะอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน จนเธอหน้าถอดสี เพราะเหนือบ่าขึ้นไปของอัศวินคนนั้นกลับไม่มีหัว ส่วนสิ่งที่อยู่ในมือข้างขวากลับเป็นหัวของชายหนุ่มผู้นึง ซึ่งดวงตาของหัวนั้นกำลังกลิ้งกลอกไปมาและส่งแสงสว่างวาบแทนตะเกียงราวกับมองหาเป้าหมาย แถมยังแสยะยิ้มน่าขนลุกในจังหวะที่ดวงตานั้นมองมาทางเธอเข้าพอดี แอ๊ด…ปึงงง! หญิงสาวร่างบางรีบปิดหน้าต่างเสียงดังด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับคุมมือตัวเองที่กำลังสั่นให้ลงกลอนจนสำเร็จ แต่โชคดีที่คราวนี้บุรุษไร้หัวผู้นั้นได้ควบม้าผ่านหน้าบ้านเธอไปเลยแล้วหายลับไปในความมืดพร้อมกับเสียงควบม้าที่ดังไกลออกไปจนทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เธอปิดผ้าม่านลง ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องกลับมาเป็นปกติตามเดิม จนมีอารู้สึกโล่งใจขึ้นก่อนจะเดินกลับไปทรุดฮวบลงกับเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน ถึงจะยังรู้สึกกลัวอยู่ แต่ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาทั้งวันก็ทำให้เธอเผลอหลับสนิทไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันได้คิดอะไรอีก …………………………………………………. ในเช้าวันต่อมา หญิงสาวร่างบางก็ตื่นนอนขึ้นมาแต่เช้าตรู่เร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ เธอรีบสวมชุดเดรสสีน้ำเงินแล้วรวบผมยาวถักเป็นทรงสุภาพ พร้อมทั้งติดกิ๊บดอกกุกลาบสีน้ำเงินประดับผมด้วยความว่องไวแล้วก้าวออกจากห้อง ระหว่างที่มีอาขนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมายังชั้นล่างอย่างระมัดระวัง เพราะไม่ต้องการให้ใครตื่น ภายในหัวของเธอก็คิดถึงภาพอันน่าขนลุกที่เจอมากับตัวเมื่อคืนไปด้วยพร้อมกันจนขนลุกซู่ ‘บางที นั่นอาจเป็นปีศาจดูลาฮานในเรื่องเล่าของชาวไอริชก็ได้’ หญิงสาวผมสีแดงอมส้มคิด พลางนึกถึงคาบเรียนศาสนาในมิชชันนารี ที่พวกแม่ชีเคยเล่าเรื่องตำนานปีศาจพื้นบ้านให้ฟังพอเป็นความรู้อยู่ทุกอาทิตย์ ซึ่ง ‘ดูลาฮาน’ นั้น คือปีศาจในชุดเกราะอัศวินที่ไม่มีหัว และจะถือหัวของตนเองแล้วควบม้าไปยังบ้านที่มีคนใกล้จะตาย หากเขาหยุดจ้องที่บ้านใคร นั่นหมายถึงบ้านนั้นจะมีคนตาย ดังนั้นเขาจึงเปรียบเสมือนลางร้ายหรือยมทูตที่มาส่งข่าวร้ายให้แก่ผู้คนนั่นเอง ‘โชคดีที่รอบนี้ปีศาจตนนั้นไม่ได้มาหยุดที่บ้านนี้ แต่ถ้าตำนานนี้เป็นเรื่องจริง นั่นเท่ากับหมู่บ้านนี้คงกำลังมีคนที่กำลังจะตายเป็นจำนวนมากเลยสินะ’ มีอาคิดด้วยความสลดใจ แต่ก็ไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับใครโดยเด็ดขาดเพราะกลัวจะทำให้ชาวบ้านในละแวกนี้รู้สึกหวาดกลัว เมื่อเธอเดินออกมาถึงหน้าบ้าน หญิงสาวร่างบางก็ถึงกับหลุดยิ้มทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า เพราะพวกบรรดาเด็กๆทุกคนจากในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้กับคุณแม่อธิการต่างกำลังยืนรอกันเป็นกลุ่มเพื่อดักรอร่ำลาเธอก่อนไป เธอเลยโผเข้าไปกอดทุกคนด้วยความซาบซึ้งใจ หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ในการร่ำลากันเรียบร้อยแล้ว แม่ชีชราผู้ที่เธอรักและเคารพเหมือนแม่ก็เดินเข้ามาหา พร้อมกับสวมสร้อยคอล็อกเกตสีทองรูปหัวใจลงบนคอขาวนวลของมีอาอย่างนุ่มนวล ก่อนจะกำชับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดูแลสร้อยเส้นนี้ให้ดีๆนะมีอา มันเป็นของที่แม่รักมาก ถ้าคิดถึงแม่เมื่อไหร่ก็เปิดล็อกเกตดูนะ อย่าลืมเขียนจดหมายหาแม่ด้วยนะ” พอได้ยินแบบนั้น หญิงสาวร่างบางก็ยิ้มจนแก้มปริด้วยความดีใจ ก่อนจะรีบตอบรับทันที “เข้าใจแล้วค่ะ หนูจะไม่ลืมเขียนจดหมายและรักษาสร้อยเส้นนี้เป็นอย่างดีเลยค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ” มีอาสวมกอดกับคุณแม่อธิการอยู่ชั่วครู่ กระทั่งเข็มนาฬิกาพกสีทองของเธอเดินมาถึงเวลาที่สมควรแก่การเดินทางแล้ว เธอจึงโบกมือร่ำลาทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินอุ้มกระเป๋าเดินทางมุ่งตรงสู่ถนนที่ทอดยาวไกลออกนอกหมู่บ้านไปด้วยสีหน้าเบิกบาน โดยที่หญิงสาวไม่มีทางรู้เลยว่าการเดินทางในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตตั้งแต่เธอเกิดมา…...

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

ยั่วรัก หม้ายสาวสายแซ่บ

read
17.2K
bc

ภพรักที่ภูดาว

read
1K
bc

บุพเพหวนครรลอง

read
2.6K
bc

หลอกให้รัก My Beautiful boy

read
1.1K
bc

สร้างเนื้อสร้างตัวในยุคจีนโบราณ

read
15.3K
bc

ชะตาต้องรัก

read
3.7K
bc

รักฝังใจ One night stand 18+

read
10.0K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook