บทที่10
เอาใจเด็กอ้วน
ปริญญ์ออกมานั่งอยู่ที่อ่างปลาเขาไม่ได้กลับไปไหนเพราะมีปัญหาค้างคาใจอยากรอคุยกับเป้ยแต่เพื่อนเธอก็ไม่นอมกลับไปเสียที สิ่งที่เขาแอบสงสัยมันต้องมีอะไรมากกว่านี้แต่เหมือนทุกคนปิดบังความจริงเอาไว้
"เด็กวัดนี่ปุ้มปุ้ยนะ" เด็กตัวอ้วนกลมชี้ไปที่เจ้าปลาทองตัวเล็ก
"ครับ"
"เด็กวัดทำไมมานั่งตรงนี้ หิวข้าวเหรอ"
"เปล่าครับ"
"เด็กวัดเข้าบ้านกัน ปุ้มปุ้ยมีของเล่นที่ปู่เมศซื้อให้เยอะๆ เลยมาสิ"
เด็กอ้วนกลมจับมือปริญญ์ลุกขึ้นจากโต๊ะแต่ปริญญ์ซ้อนตัวเธอมานั่งตักแล้วมองดวงตาคู่นั้น จะผิดไหมถ้าเขาเห็นเงาคุณแม่อยู่ในดวงตาคู่นี้
"ปู่เมศใจดีไหมครับปุ้มปุ้ย"
"ปู่เมศของปุ้มปุ้ยนะ" เด็กน้อยทำหน้านิ่วคิ้วขมวด "ปู่เมศใจดีมากนะเด็กวัด"
"จริงดิ ทีกับพี่ปู่เมศชอบบังคับจังเลย"
"โนวว! ปู่เมศของปุ้มปุ้ยนะ" เด็กน้อยไร้เดียงสาเริ่มแสดงอาการหวงปู่เมศจนปริญญ์ต้องถ่ายคลิปส่งไปให้ปรเมศวร์ดู
ด้านคุณปู่เมศหลังจากที่ได้เห็นคลิปหลานสาวจากลูกชายก็ยิ้มตาหยีกดเซฟคลิปเอาไว้อวดอดีตภรรยาที่หย่าร้างกันไปแล้ว เขารู้ตั้งแต่คืนที่ลูกชายพาพี่สาวข้างบ้านเข้าโรงแรมเพราะอดีตภรรยาโทรมาบ่นว่าลูกชายตัวดีไม่ยอมกลับบ้านจึงโทรหาไม่รู้ว่าใครไปโดนโทรศัพท์จึงได้ยินเสียงลูกชายออดอ้อนสาวที่ชอบจนเขาต้องวางสายไป หลังจากนั้นไม่นานเป้ยก็กลับมาอยู่บ้านนอกจนวันที่เด็กคนนี้ลืมตาดูโลกปรเมศวร์ก็เป็นคนแอบตรวจดีเอ็นเอด้วยตนเอง
และความลับเรื่องนี้จะถูกใช้เป็นข้อต่อรองกับอดีตภรรยาไว้ถึงเวลาเมื่อไหร่เขาจะขึ้นมารับหลานไปหาคุณย่าเอง รับรองได้เลยว่าคนเย่อหยิ่งอย่างปรีชญาต้องอ่อนระทวยอย่างแน่นอน
"เด็กๆ ทานข้าวจ้า" กระแตเดินออกมาตามทั้งสองคนพอเห็นพ่อลูกกำลังถ่ายรูปเซลฟียังอดยิ้มตามไม่ได้
"เด็กวัดนี่ป้ากระแตนะ"
"ครับผม ไปกินข้าวกัน"
ปริญญ์อุ้มเด็กอ้วนเข้ามาในบ้านทั้งสองนั่งทานข้าวด้วยกันโดยมีปุ้มปุ้ยขอป้อนข้าวให้ปริญญ์แม้ปริญญ์จะปฏิเสธก็ถูกนิ้วอ้วนๆ ชี้หน้าพร้อมทำหน้าตาขึงขังเขาจึงต้องจำใจถูกป้อนข้าวไปหลายช้อน
"แม่คะ แม่ขาพรุ่งนี้ให้เด็กวัดมาเล่นที่บ้านอีกได้ไหมคะ"
"เขาต้องทำงานค่ะ"
"เด็กวัดตกงานค่ะ" ปุ้มปุ้ยตอบกลับทันทีโดยไม่ต้องคิดพาเอาผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่หัวเราะชอบใจ
"พี่ไม่ได้ตกงานนะแค่เจ้านายบอกให้หยุดพักเฉยๆ"
"ว่าแต่น้องปริญญ์ทำงานอะไรคะหรือฝึกงานอยู่" กระแตเริ่มทำหน้าที่สัมภาษณ์คุณพ่อของปุ้มปุ้ย
"ตอนนี้ผมฝึกงานอยู่อู่เพื่อนครับ"
"แล้วทำไมนายไม่เรียนหมอล่ะ ฉันจำได้ว่าตอนที่กลับไปบ้านแม่ฉันบอกว่านายสอบติดหมอไม่ใช่หรือไง"
"ใช่ครับผมสอบติดหมอแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่อยากเป็นหมอคงเป็นเพราะว่าผมกลัวว่าครอบครัวของผมในอนาคตต้องมาพังเหมือนที่พ่อกับแม่ผมต้องเลิกกันก็ได้"
"มันก็ไม่เสมอไปหรอกนะพ่อกับแม่นายทำงานต่างวาระต่างหน้าที่ พ่อนายเป็นผอ.โรงพยาบาลต่างจังหวัดส่วนแม่นายเป็นอาจารย์หมอแถมยังทำงานอยู่ในสภาด้วยการที่ทั้งสองต้องเลิกรากันก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองจะเลิกรักนายนี่"
"ผมเข้าใจครับผมรู้แต่ผมคิดว่าผมคงไม่มีความอดทนมากพอที่ต้องเรียนหมอและดูแลคนไข้ขนาดคนที่ผมรักผมยังดูแลไม่ได้เลย"
ปริญญ์มองหน้าพี่สาวคนสวยด้วยสายตาแห่งความหวังคนอยู่ตรงกลางอย่างกระแตจึงทำได้เพียงแค่เปลี่ยนเรื่องคุยเท่านั้นไม่งั้นจะสียบรรยากาศ
หลังจากทานข้าวเสร็จปุ้มปุ้ยก็ขอมาเล่นสกู๊ตเตอร์หน้าบ้านกับปริญญ์ไม่รู้ทำไมคนเอาแต่ใจอย่างเขาถึงได้ยอมเอาอกเอาใจเด็กอ้วนคนนี้ไม่ว่าจะสั่งอะไรเขาก็ยอมจะพูดให้ฟังทั้งวันเขาก็ไม่เบื่อ
"เด็กวัดพรุ่งนี้มาเล่นกันไหมแม่คะ แม่ขาไม่ว่าหรอก"
"เราอยากให้พี่มาไหมล่ะ"
"อยากสิ นี่ปุ้มปุ้ยนะอยากให้มาอยู่แล้ว"
"งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่หาขนมอร่อยๆ มาให้ก็แล้วกัน โอเคไหมคนเก่ง"
"ปุ้มปุ้ยโอเค ขนมที่พระได้มาใช่ไหมไม่บาปใช่ไหม" เด็กน้อยถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
"ไม่บาปหรอก กินของวัดได้บุญ"
"งั้นโอเคนี่ปุ้มปุ้ยนะ ปุ้มปุ้ยชอบกินข้าววัด^^"
หลังจากที่ปริญญ์กลับวัดไปแล้วเป้ยก็ต้องนั่งฟังลูกสาวพูดถึงเพื่อนใหม่อย่างปริญญ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลี้ยงปลาเรื่องสอนการพูดภาษาไหนจะเรื่องนับเลขถือว่าปริญญ์ก็มีความคิดที่ดีไม่ได้ทำอะไรไร้สาระให้ลูกเห็น
"แม่คะ แม่ขาพรุ่งนี้เด็กวัดจะเอาขนมมาให้นะ"
"ค่ะลูก"
"แม่คะ แม่ขาเด็กวัดบอกว่าปุ้มปุ้ยน่ารัก วันนี้ก็หอมแก้มปุ้มปุ้ยด้วยนะ"
"ปุ้มปุ้ยหนูมีความสุขไหมเวลาที่พี่ปริญญ์เขาอยู่กับลูก"
"มีสิ นี่ปุ้มปุ้ยนะมีความสุขอยู่แล้วปู่เมศบอกว่าปุ้มปุ้ยเป็นเด็กสดใส ยิ้มแล้วโลกจะสวยงามค่ะ^^"
"ไว้ถึงเวลาให้ทุกอย่างมันพร้อมกว่านี้แม่จะบอกเรื่องนี้กับพ่อของหนูนะ ตอนนี้ให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีพร้อมในทุกๆ ด้านก่อน การที่เราจะเป็นพ่อแม่คนความรับผิดชอบมันต้องมีแม่ไม่เคยโกรธเขาเลยมันผิดที่แม่ที่ไม่ป้องกันแต่ก็เพราะเขาที่ทำให้แม่มีปุ้มปุ้ยในวันนี้เด็กดีของแม่ แม่เห็นหนูมีความสุขแม่ก็ดีใจแล้วค่ะ"
------------------------
ก็ว่าไอ้หมาวัดมันได้ใครมา ปู่เมศนี่เอง