ยามอู่ พระอาทิตย์ตรงศีรษะพอดี ภายใต้แสงแดดที่แสนร้อนแรงเหงื่อไหลย้อยลงใต้คาง ทั้งเฉินอวี้อัน อวี่หลง และชิงหมิงเยว่ที่จูงเยว่หวานกำลังยืนต่อแถวเข้าเมืองหลวงผ่านประตูทางทิศใต้ อารมณ์ของชิงหมิงเยว่ไม่ค่อยจะดีนักนางไม่ค่อยถนัดกับการที่ต้องรอคอยนี่นับเป็นความพยายามปรับตัวเข้ากับกลุ่มคนที่นางรู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามมากกว่าการออกแรงฝึกวิชาหรือการต่อสู้ศัตรูเสียอีก สองเมืองที่ผ่านมาถูกลอบฆ่าตลอดเวลาการพักค้างคืนไม่ต้องพูดถึงแม้ยามกลางวันก็มิเว้น ฝ่ายศัตรูทุ่มกำลังนักฆ่าครั้งละนับร้อยและฝ่ายแม่ทัพก็สูญเสียกำลังทหารองครักษ์ลับมิใช่น้อยเช่นกันทุกครั้งผ่านมาได้เพราะรับการช่วยเหลือจากฝีมือที่ยอดเยี่ยมของเด็กสาวที่เดินทางอย่างเรื่อยๆ คล้ายมิใช่เรื่องร้ายแรง พวกเขาคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่นอน
“วันนี้อากาศร้อนมาก ท่านแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้างขอรับ พวกเรายื่นตราแล้วเข้าเมืองก็ได้ทำไมต้องมายืนต่อแถวด้วยขอรับ”
“เฮ้อ ข้าให้ตราไปกับอู่สือเฉิน เพื่อยืนยันตัวตนแต่ลืมไปว่ายามผ่านประตูเมืองพวกเราก็ต้องใช้เช่นกัน”
“.....”
ชาวบ้านที่ยืนต่อแถวด้านหน้าและด้านหลังเมื่อเห็นสภาพเสื้อผ้าผมเผ้าของทั้งสามคนที่เปรอะเปื้อนฝุ่นดินและคราบโลหิตแห้งกรังตามเสื้อผ้าก็ถอยห่างเว้นระยะห่าง ต่างก็นึกว่าเป็นพวกเร่ร่อนไร้บ้านพวกเขาไม่ชื่นชอบขอทาน ไม่ชอบกลิ่นเหม็นจากทั้งสามคนยิ่งเว้นระยะยิ่งทำให้กลายเป็นจุดเด่น เมื่อถึงลำดับของพวกเขาทหารยามจ้องมองเขม็งทั้งยังกักกั้นตรวจค้นสัมภาระอย่างละเอียดอย่างไม่ไว้วางใจ ใครใช้ให้พวกเขาดูน่าอนาถได้ขนาดนี้เล่า
“พวกเจ้าสามคนเป็นคนเมืองไหน”
“เมืองหลวง”
ทหารยามส่งสายตาไปยังชายเบื้องหน้าที่ส่งเสียงตอบมา มองตั้งแต่หัวจรดเท้ายาจกชัดๆ คนต่างเมืองอพยพเข้ามาหางานหรือไม่ก็เป็นขอทานอีกแล้วจึงมองด้วยสายตาดูแคลน คนกลุ่มนี้มีมือมีเท้าสมบูรณ์ทั้งกลุ่มยังไม่รู้จักทำมาหากินเช่นชาวบ้านทั่วไป
“มีหนังสือเดินทางหรือไม่”
“ไม่มี”
“มีญาติในเมืองหลวงไหม”
“ไม่มี”
“เอ๊ะ พวกเจ้านี่ยังไง ถามหาอะไรก็ไม่มีสักอย่างแล้วจะผ่านเข้าเมืองได้อย่างไร มีคนรู้จักที่รับรองให้กับพวกเจ้าได้หรือไม่”
แถวหยุดเป็นเวลานานชาวบ้านด้านหลังเริ่มส่งเสียงดังเอะอะโวยวาย ทหารอีกคนหันไปตวาดให้คนในแถวด้านหลังเงียบก่อนหันกลับมา ทันใดนั้นมีเสียงม้าวิ่งมาจากด้านในเมือง ทหารรีบหันกลับไปทำความเคารพ ทหารบนหลังม้ารีบลงจากหลังมาวิ่งเข้ามาหาทั้งสามคน
“ท่านแม่ทัพ เชิญกลับเข้าเมืองขอรับ”
หยุดยืนค้อมศีรษะทำมือเชิญทั้งสามเข้าเมือง เฉินอวี้อันไม่ลืมหันกลับไปถามทหารที่ทำหน้าที่ตรวจคนทั้งสามเสียงเบา ก่อนที่ขบวนทั้งหมดจะขี่ม้ากลับเข้าเมือง
“เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าน้อยแซ่หลี่ นามว่า ชง ขออภัยด้วยขอรับไม่ทราบว่าเป็นท่านแม่ทัพ”
หลี่ชงเป็นชาวบ้านธรรมดาที่สมัครมาเป็นพลทหารเพื่อให้มีเงินเลี้ยงดูมารดาที่อายุมาก ปกติทำหน้าที่ด้วยความเคร่งครัดวันนี้เพราะทำหน้าที่ตรวจสอบคนเข้าเมืองได้ล่วงเกินคนใหญ่คนโต ในใจนึกหวาดหวั่นไม่รู้ว่าตนจะต้องรับโทษอันใดห่วงเพียงจะทำให้มารดาลำบากไปด้วย (แต่เพราะการทำหน้าที่ขยันขันแข็งเป็นอย่างดีในวันนี้ในภายหลังหลี่ชงได้ถูกมอบหมายงานที่มีความรับผิดชอบจากกองทัพ ทำให้มีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นในภายหลัง)
เมื่อกลับถึงจวน ชิงหมิงเย่วถูกพ่อบ้านของจวนนำไปพักยังเรือนรับรอง ส่วนแม่ทัพเร่งรีบชำระล้างผลัดเปลี่ยนชุดเพื่อไปจัดการงานในกองทัพ ล่วงเข้ายามโหย่วจึงกลับมาถึงจวน เลยเวลาอาหารมื้อเย็นจึงทานเพียงลำพังแล้วเข้าห้องหนังสืออ่านเอกสารต่างๆ เกือบยามไฮ่ เพราะเป็นเรือนตนเองจึงผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อก้าวออกจากห้องเดินผ่านลานฝึกยุทธ์ พบว่ายังมีคนอยู่ในลานเป็นเด็กสาวคนนั้น เมื่อเข้าไปใกล้นางก็หยุดทันทีหันมาสบตาจึงเอ่ยปากชวน
“มาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ดูท่าเจ้าจะนอนมิหลับโดยง่าย อยู่คุยกับข้าก่อนเป็นไร”
พูดแล้วก็เดินนำไปยังศาลาพักผ่อนริมสระน้ำ มีพ่อบ้านนำของว่างและชุดสุรามาวางก่อนถอยกลับออกไป
“แม่หนูชิง เจ้ายังอายุน้อย รับของว่างกับชาดีหรือไม่”
เฉินอวี้อันหันไปกำกับพ่อบ้านให้ไปเตรียมขนม สักครู่ก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับของว่างและชาร้อนหนึ่งกา
“เจ้าตัวคนเดียวอยู่ในหุบเขาลำบากหรือไม่” / “ไม่"
“ข้าตัวคนเดียว เป็นลูกกำพร้าตั้งแต่เด็กก็ไร้ญาติขาดมิตรเติบโตมาจากเด็กยากจนอดมื้อกินมื้อ พอโตหน่อยก็รับจ้างไปทั่วแล้วก็จับพลัดจับพลูไปเป็นทหาร เพราะไร้การศึกษาต้องพยายามมากกว่าคนอื่นๆ ข้ามุ่งมั่นสร้างความก้าวหน้าผ่านไปย้อนดูอีกที ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าอายุสี่สิบสองปีแล้ว คนรุ่นเดียวกันกับข้าต่างก็แต่งงานมีครอบครัวมีลูกมีหลานมากมาย ตัวข้าจนใจต้องอยู่คนเดียวเช่นกัน ดังนั้นยามข้ากลับมาเมืองหลวงที่จวนนี้ก็มิได้ต่างกับการพักค้างโรงเตี๊ยม บางคราข้าชื่นชอบการอยู่ในค่ายทหารเสียยิ่งกว่า มีเสียงฝึกทหาร เสียงม้า ทำให้ข้ามีชีวิตชีวา”
ชิงหมิงเยว่แอบกรอกตามองบน นางช่วยตาแก่ขี้เหงาเอาไว้หรือไร ดึกป่านนี้กลับมานั่งดื่มสุราพร่ำบ่นให้นางฟังไม่ไปหลับไปนอน
“ข้าอิจฉาคนอื่นที่มีครอบครัวมีบุตรหลานมากมาย ยามร่วมดื่มสุรา เจ้าพวกนั้นเยาะเย้ยข้ามากมาย ข้าอัปลักษณ์ มิร่ำรวยมั่งคั่งแล้วอย่างไร ข้าหามาด้วยความซื่อตรงทำงานใช้แรงกายแลกเงินมาทุกอีแปะ”
ยิ่งดื่มหลายจอกยิ่งพูดมากมายหมดภาพลักษณ์แม่ทัพคุมกำลังทหารที่ห้าวหาญจนสิ้นแล้วท่านลุง
“เจ้าตัวคนเดียวเหมือนกันใช่ไหม หือ”
“ใช่ แล้วอย่างไร”
“แม่หนูชิงเจ้ายินดีย้ายมาอยู่จวนข้าดีหรือไม่ ข้ายกจวนนี้ให้เจ้าเลยเด็กน้อย เจ้ามาเป็นลูกสาวให้ข้าที หากมีลูกสาวที่น่ารักงดงามเช่นเจ้า ข้าต้องภูมิใจมากแน่นอน มาเป็นลูกสาวข้าเถอะนะ”
ชิงหมิงเยว่นั่งนิ่งอึ้งไปทันที ตาแก่นี่กำลังขอให้นางเป็นบุตรสาว นางคือเด็กที่ถูกทิ้ง เป็นเด็กที่ท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมเก็บมาเลี้ยงตลอดเวลามีคนต้องการนางเพียงสองคน ยามนี้มีคนผู้นี้ที่เจอนางและร่วมเดินทางด้วยกันเพียงเดือนกว่าๆ เขาเอ่ยปากว่าต้องการรับนางเป็นบุตรสาวจะดูแลนางเฉกเช่นบุตรสาวอีกคน ในใจนางสั่นไหวเด็กสาวยังโหยหาชีวิตครอบครัว นางหาได้เย็นชาเช่นภาพภายนอกที่แสดงให้คนอื่นเห็น นางเป็นเด็กสาวที่ต้องการความอบอุ่นจากญาติพี่น้องหรือนี่จะเป็นสิ่งที่ท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมต้องการให้เป็นก่อนที่ท่านจะจากไปยังบอกนางให้ออกจากหุบเขาหาที่ที่เหมาะสมกับตนเองใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกๆวัน
“เป็นลูกสาวให้ข้าที มาเป็นคุณหนูจวนแม่ทัพดีไหม”
“ได้ ตกลง”
เฉินอวี้อันเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากเด็กสาวจอกสุราในมือร่วงหล่นลงบนโต๊ะกลิ้งตกไปที่พื้นแตกกระจาย เขาแทบจะสร่างเมาทันที ลุกขึ้นยืนถามเสียงดังปานฟ้าร้อง
“เจ้าว่าไงนะ เจ้ายินดีเป็นบุตรสาวข้า เป็นบุตรสาวข้าจริงๆนะ”
“ใช่"
“ดี ดียิ่งนัก เช่นนั้น เจ้าใช้สุรานี้คำนับข้าเป็นบิดา”
“เร่งรีบเช่นนั้นหรือเจ้าค่ะ”
“ใช่ๆ ข้ารีบ หากเวลาล่วงเลยไปเจ้าเกิดเปลี่ยนใจ ข้ามิต้องอดที่จะมีบุตรสาวที่เก่งกาจทั้งยังมีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นเจ้าหรอกหรือ มีบุตรสาวที่งดงามเกินบ้านอื่นๆ นี่มันยิ่งกว่าความฝันเสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า”
นี่ข้าคิดผิดไปหรือไม่ นี่หาใช่นายท่านผู้เป็นแม่ทัพที่ดูดุดัน นิ่งขรึมที่นางได้เห็นระหว่างทางแต่เป็นตาแก่ขี้เหงาที่เอาแต่ใจอย่างยิ่ง
“มา มา เด็กดี คำนับข้าเป็นบิดาเจ้า เร็วๆ เข้า ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดข้าเฉินอวี้อันก็มีบุตรกับเขาแล้ว”
เสียงหัวเราะดังสนั่นครานี้เรียกให้ พ่อบ้านและคนรับใช้เดินเข้ามาหยุดยืนดูอยู่ไม่ไกล นางจึงต้องยอบกายลงเพื่อยกสุราที่เฉินอวี้อันยื่นให้ คำนับบิดาบุญธรรม
“ท่านพ่อ ลูกสาวคำนับท่านเจ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าลุกขึ้น ข้ายินดียิ่งนัก นั่งลงๆ เจ้ารับสิ่งนี้ไป ฉุกละหุกเช่นนี้ข้ามิได้เตรียมสิ่งใดรับขวัญเจ้า นี่เป็นหยกที่ข้าห้อยติดกายผ่านร้อนผ่านหนาวมากับข้ายาวนานเนื้อยกจัดว่าดีมากแม้จะชิ้นเล็กไปสักหน่อย เจ้ารับไป”