ฟังเขาพูดจบชิงหมิงเยว่ก็ลุกขึ้นจากไปทิ้งพวกเขามองตามต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตนเองไม่สามารถบังคับให้เด็กสาวทำตามความต้องการของพวกเขาได้
“ท่านแม่ทัพ นางจะยอมช่วยเหลือพวกเราหรือไม่ขอรับ หากนางไม่ยื่นมือช่วยพวกเราจะทำอย่างไรกันต่อดี”
“ใจเย็นก่อน รอนางตัดสินใจเถอะจู่ๆ ขอร้องนางแล้วจะให้เด็กสาวตัดสินใจทันทีนี่ก็เป็นการบีบบังคับนางนะสิ พวกเราทำได้เพียงให้เวลานางได้ตัดสินใจดีๆ ก่อน”
ชิงหมิงเยว่กลับถึงห้องหลังดูแลตัวเองเรียบร้อย ถอดชุดคลุมออกก้าวเท้าขึ้นไปนั่งบนเตียงนอน สายตาทอดมองไปนอกหน้าต่าง นางช่วยพวกเขามาแล้วก็ไม่รู้สึกลำบากที่จะต้องช่วยเขาต่ออีกสักหน่อยไม่แน่ว่าเวลานี้อาจเหมาะกับการที่จะออกไปนอกหุบเขา สิ่งต่างๆ ที่ยังค้างคาในจิตใจอาจบรรเทาลงได้บ้าง อีกทั้งถือเป็นการออกไปไกลจากบ้าน(หุบเขาสยาอวิ๋น) ไปท่องเที่ยวด้านนอกสักครั้ง พรุ่งนี้นางต้องไปบอกท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมทั้งสองให้เรียบร้อย คิดได้ดังนั้นจึงเอนกายหลับไหลเข้าสู่นิทรา ต่างจากบุรุษทั้งสองในอีกฝากของเรือนยามนี้รู้สึกรอคอยคำตอบของนาง สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวก็พากันหลับไหลในยามดึก
รุ่งเช้าวันถัดมา พวกเขาได้รับคำตอบจากนางว่าจะร่วมเดินทางไปด้วย หากแต่มีเงื่อนไขสองประการคือหนึ่งตัวตนของนางมิต้องแจ้งให้ผู้ใดรับรู้ สองนางมิใช้ผู้ติดตามของคนทั้งสองหากนางรู้สึกขัดแย้งสามารถแยกจากได้ทันที เฉินอวี้อันรีบตอบรับเงื่อนไขทันที สิ่งที่นางร้องขอไม่กระทบอันใดต่อการเดินทางในครั้งนี้อีกทั้งนางไม่เรียกร้องการตอบแทนทำให้เขายิ่งต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้งอีกครั้งว่าจะใช้สิ่งใดตอบแทนให้กับเด็กสาว เงินทอง เครื่องประดับ แค่คิดก็ดูจะยุ่งยากนักเพราะนางแลจะไม่สนใจกับสิ่งของเหล่านี้ นางอยู่ท่ามกลางป่าเขาของมีค่าล้วนไม่จำเป็น เอาเถอะเมื่อถึงเวลาค่อยคิดอีกทีหากยุ่งยากนักก็ให้นางเสนอมาดีกว่า
ชิงหมิงเยว่ให้ทั้งสองรออาการของเฉินอวี้อันดีขึ้นอีกเล็กน้อย สองวันต่อมาอากาศแจ่มใส ยังมีหมอกบางๆ เยว่หว่านที่บนหลังยามนี้เต็มไปด้วยห่อสัมภาระก้มเล็มยอดหญ้า ยามที่เด็กสาวก้าวออกมาจากห้องพักทั้งสองต่างตกตะลึงเล็กน้อย การแต่งกายในวันนี้ของนางเปลี่ยนไปแม้ชุดจะยังเน้นความคล่องตัวหากแต่เนื้อผ้ากลับดียิ่งเครื่องประดับน้อยชิ้นหากแต่ราคาสูงยิ่งชาวบ้านทั่วไปมิสามารถหาซื้อได้แม้แต่เขาที่เป็นแม่ทัพเกรงว่าจะต้องรวบรวมเงินเดือนมากกว่าสองปีจึงจะซื้อได้สักหนึ่งชิ้น ดูท่าแล้วนางคงเป็นทายาทหรือผู้สืบทอดเจ้าของหุบเขาสยาอวิ๋นเป็นแน่ หลังจากจัดการอาหารมื้อเช้าเรียบร้อยทั้งสามพากันเดินออกมานางหันกลับไปมองกระท่อมหลังน้อยก่อนปิดรั้วแล้วพากันเดินไปตามทางเดินมุ่งออกจากหุบเขา
เขตรุ่งเรืองฝั่งตะวันออกของเมืองหลวงในแคว้นอู๋ จวนอ๋องสามที่ตั้งอยู่ติดถนนสายหลักของเมืองประตูหลักใหญ่มีสิงโตหินขนาดสูงกว่าห้าฉื่อยืนนิ่งสงบพิทักษ์ประตูทหารประจำจวนยืนแต่งกายครบถ้วนถือทวนเฝ้าประตูอย่างแข็งขัน ในห้องโถงที่แสนโออ่ามือสังหารที่ถูกส่งออกไปทำงานกลับเข้ามารายงานข่าวก้มหน้ามองพื้น เขากำลังรับมือกับอารมณ์ที่เดือดพล่านของผู้เป็นนาย
“พวกเจ้าช่างไร้ประโยชน์คนเป็นร้อยจับคนเพียงสองคนยังปล่อยให้หลุดมือไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
“พวกมันไม่รอดกลับมาแน่นอนพะยะค่ะ เจ้าอวี่หลงพาเฉินอวี้อันที่ถูกพิษหนีเข้าไปในเขตหุบเขาสยาอวิ๋น ที่นั่นมีหมอกพิษ กับดักและค่ายกลมากมาย คนที่เข้าไปไม่เคยมีผู้ใดรอดกลับออกมาได้”
“ไม่ต้องพูดมากสั่งการลงไป ข้าต้องการกำจัดพวกมันตายก็ต้องได้เห็นศพ” / “พะยะค่ะ”
การเดินทางออกจากหุบเขาสยาอวิ๋นของทั้งสามคนใช้เวลาเดินทางหลายวันเพราะเด็กสาวไม่รีบเร่ง ม้าของนางก็ไม่รีบเร่งเช่นกัน เฉินอวี้อันและอวี้หลงคนป่วยทั้งสองแม้อยากรีบกลับเมืองหลวงแต่ก็จนใจด้วยสภาพร่างกายอ่อนแอเกินกว่ารีบเร่งได้ กว่าจะเดินออกมาสู่เขตป่าด้านนอกก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากแล้วหนทางเต็มไปด้วยอุปสรรคทั้งหนามและเถาวัลย์มากมาย เมื่อออกจากรอยต่อเขตหุบเขาด้านนอกชิงหมิงเยว่เดินออกมาราวกับเดินท่องเที่ยวชมป่าเขาโดยไม่สนใจการถูกจับตามองของศัตรูที่ติดตามมา เฉินอวี้อันและอวี้หลงเองก็ทำเช่นเดียวกับนางคือไม่มีท่าทีสนใจพวกมัน (พวกเขาสัมผัสได้ถึงพวกมันตั้งแต่เริ่มออกจากเขตหุบเขาสยาอวิ๋น) ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดพวกคนเหล่านั้นยังไม่ลงมืออาจจะเป็นเพราะไม่แน่ใจในฝีมือของเด็กสาวที่เพิ่มเข้ามาในกลุ่มของพวกเขา
“สะกดรอยตามไป ส่งคนไปแจ้งนายท่านเตรียมคนของเราไว้ให้พร้อม”
“พวกเจ้าตามข้าไปอย่าให้พวกมันสามคนคลาดสายตาไปได้”
“เหมือนเจ้าเฉินอวี้อันจะแก้พิษของพวกเราได้นะขอรับ”
“ใช่ เด็กสาวนั่นต้องมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาแน่ พวกเราตามไปก่อนค่อยหาโอกาสลงมือ”
เดินในป่าด้านนอกหนึ่งวันหนึ่งคืนก็เข้าสู่เขตหมู่บ้านขนาดเล็กที่มีบ้านเรือนตั้งกระจัดกระจายปลูกสร้างแบบง่ายๆ ด้วยไม้และหิน มีชาวบ้านอาศัยอยู่จำนวนไม่มาก คืนนี้กลุ่มของเฉินอวี้อันขอพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้ อวี้หลงเป็นคนไปติดต่อกับหัวหน้าหมู่บ้าน ทำให้พวกเขาได้พักเรือนร้างที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัยมาสักระยะหนึ่งเป็นเรือนขนาดเล็กมีเพียงสองห้อง สตรีเพียงหนึ่งเดียวได้พักเพียงลำพัง เมื่อเข้าไปที่บ้านทั้งหมดแยกย้ายกันทำความสะอาดห้องที่ตนจะพักหลังทานอาหารมื้อเย็นพวกเขามิได้พูดจาสื่อความใดๆ แต่คาดเดาได้ว่าคืนนี้อาจมิได้นอนดีนัก เฉินอวี้อันสื่อสารทางสายตากับอวี้หลงก่อนจะพักผ่อนเพื่อลดความเหนื่อยล้าในการเดินทางที่ผ่านมาหลายวัน
ยามโฉ่ว ด้านนอกรั้วเรือนจุดที่เงียบสงัดในเงามืดมีกลุ่มคนซุ่มอยู่กำลังรอสัญญาณกว่ายี่สิบคน ทั้งหมดได้รับป้ายคำสั่งสีดำจากหัวหน้าหน่วยของสำนัก ให้สังหารเป้าหมายเป็นชายฉกรรจ์สองคนเด็กสาวหนึ่งคน พวกเขาติดตามกลุ่มคนทั้งสามตั้งแต่ชายป่านอกหุบเขาสยาอวิ๋น กลุ่มแรกเมื่อได้รับสัญญาณเริ่มเคลื่อนเข้าไปประชิดตัวผนังบ้านกลุ่มที่สองและสามเคลื่อนไหวตามเข้าไป กลุ่มแรกเพียงพุ่งเข้าไปในตัวบ้านทั้งหมดทยอยล้มลงไม่มีใครส่งเสียงออกมา
“ลงมือ”
“เกิดอะไรขึ้น เข้าไป”
ในความมืดกลุ่มที่สองเข้ามาก็สะดุดบางสิ่งที่พื้นอาศัยเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาพวกมันเห็นกลุ่มแรกนอนแน่นิ่งจึงเกร็งตัวจ้องมองไปมาในเงามืดมองหาเป้าหมายเห็นเพียงประกายแสงแวบวาบ รู้ตัวอีกทีบนลำคอก็มีของเหลวอุ่นร้อนเหม็นคาวทั้งฝ่ามือที่ลูบไปมีของเหลวไหลเมื่อรู้ตัวก็เอามือพยายามปิดไว้มิให้โลหิตไหลทะลักออกมาก่อนที่จะล้มลงมิได้มีโอกาสส่งเสียงหรือตอบโต้ใดๆ กลุ่มสุดท้ายหยุดอยู่ด้านนอกชั่วขณะพลันมีเงาร่างจากด้านในรั้วพุ่งตรงออกมา จึงต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง เสียงอาวุธในมือกระทบกับอาวุธของอีกฝ่าย ลำแขนสั่นสะท้านตามแรงกระแทกที่ได้รับบางคนถูกฟันล้มลง บ้างถูกแทงในจุดตาย สุดท้ายเหลือเพียงสองคนยืนหันหลังชนกัน มันจึงได้เห็นเงาร่างนั้นอย่างชัดเจนเป็นเด็กสาวชุดสีขาวเงินยวงคลุมด้วยเสื้อตัวยาวสีเทาอ่อน ดวงตาฉายแววสะท้อนให้เห็นความมั่นใจในฝีมือ ทั้งสองถอยตามก้าวของอีกฝ่ายที่ก้าวย่างเข้ามา
“เจ้า หรือว่าเจ้า ใครตายก่อนดี”
เสียงเด็กสาวกระชับสั้นยิ่ง พวกมันสองคนต่างมองที่ปลายกระบี่ที่ผ่านการสังหารคนมาหลายคนหากแต่ไม่มีโลหิตติดอยู่เพียงนิดหากแต่ยังคงแวววาวคมกระบี่ส่องประกายยามต้องแสงจันทร์ช่างหน้าหวาดผวายิ่งนัก พวกมันทั้งสองคนเคยแต่ไล่สังหารผู้อื่น วันนี้กลับกลายเป็นยืนนิ่งให้ผู้อื่นสังหาร มันบีบคั้นหัวใจจนไม่สามารถบังคับขาทั้งสองข้างที่ไร้เรี่ยวแรงจะยืน มือที่จัดดาบจับกระบี่ยกขึ้นยังสั่นจนมองเห็นได้ชัด