ครอบครัวพัทธนันท์กุล เป็นเจ้าของโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มและสวนปาล์ม รวมถึงผู้รับซื้อปาล์มรายใหญ่ของจังหวัดในภาคใต้ นายพิพัฒน์รับช่วงต่อธุรกิจจากครอบครัว เมื่อเขาแต่งงานครั้งแรก ภรรยาของเขาก็เสียชีวิตขณะคลอด ทิ้งลูกสาวคือดาริกาหรือหนูดาว ไว้ให้นายพิพัฒน์เลี้ยงดู หลังจากผ่านมาสิบห้าปี นายพิพัฒน์ได้พบรักกับแม่ม่ายสาวชื่อว่าแขไข อดีตลูกสาวของเจ้าของเหมืองแร่ที่ปิดกิจการไปแล้ว แขไขมีลูกติดสองคนชื่อเจนจรัสกับนลินรัตน์ ทั้งสองมีอายุมากกว่าดาริกาสามและสองปีตามลำดับ หลังจากแต่งงานสามแม่ลูกก็ย้ายมาอยู่ร่วมบ้าน ในช่วงปีแรกๆ แขไขกับลูกๆ ไม่ได้สร้างปัญหาให้ดาริกาและนายพิพัฒน์
ทว่า... ในเวลาต่อมา หลังจากนายพิพัฒน์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แขไขได้เข้าไปดูแลกิจการแทนสามี พร้อมกับยึดอำนาจทุกอย่างในบ้าน ลูกเลี้ยงอย่างดาริกาถูกกดข่มไม่ให้เงยหน้าออกจากครัว ดาริกาเรียนจบมัธยมปลายก็ไม่ได้เรียนต่อ โดยแม่เลี้ยงอย่างแขไขให้เหตุผลว่านายพิพัฒน์ต้องการคนดูแลอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ลูกสาวทั้งสองของนางกลับได้ร่ำเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
ดาริกาถูกแม่เลี้ยงขู่ไม่ให้บอกเรื่องนี้กับนายพิพัฒน์ โดยบอกว่าจะไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้นายพิพัฒน์ หญิงสาวจำต้องทนขมขื่นอดทนเรื่อยมา
โดยอาศัยเรียนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเพื่อให้ได้ปริญญา ชีวิตของดาริกาไม่ต่างจากนางซินก้นครัว ถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวนอกไส้ทั้งสองคนรังแก กดข่มให้อยู่ใต้อาณัติโดยไม่มีทางขัดขืน นายพิพัฒน์เองก็ไม่สามารถช่วยเหลือลูกสาวได้ ด้วยเซ็นชื่อให้นางแขไขดูแลกิจการแทนในขณะที่เขาเพิ่งป่วย โดยไม่คิดว่าแขไขจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ เขาได้แต่ทนดูลูกถูกแม่เลี้ยงใจร้ายรังแกด้วยหัวใจปวดร้าว
“คุณพ่อคะ เดี๋ยวหนูดาวจะนวดให้นะคะ หมอบอกว่ากล้ามเนื้อบริเวณขาของคุณพ่อ ต้องนวดบำบัดทุกวัน ป้องกันไม่ให้อ่อนแรง”
ดาริกาบอกบิดาหลังจากป้อนข้าวและยาให้ท่านแล้ว นายพิพัฒน์เป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงมาทำให้เดินไม่ได้ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงได้ห้าปีแล้ว ดาริกาคอยดูแลบิดามาตลอด ด้วยนางแขไขไม่ยอมจ้างพยาบาลมาดูแลท่าน โดยอ้างว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง หากช่วยกันประหยัดได้ก็ควรทำ ดังนั้นดาริกาจึงต้องรับหน้าที่นี้ เธอถูกแม่เลี้ยงบังคับให้ช่วยทำงานบ้านไม่ต่างจากคนรับใช้ โดยเฉพาะงานครัวโดยบอกว่าฝีมือการทำอาหารของดาริกาอร่อยถูกปาก มากกว่าแม่ครัวคนก่อนที่ถูกไล่ออกไป ในบ้านมีคนงานเก่าแก่สองคนคือนางแก้วกับนายชม ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของครอบครัวตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ของนายพิพัฒน์ คนรับใช้คนอื่นถูกให้ออกไปหมดเพื่อลดค่าใช้จ่าย ดาริกากับนางแก้วต้องทำงานบ้านกันสองคน ส่วนนายชมมีหน้าที่ดูแลสวนและขับรถ
ดาริกาเดิมทีนั้นเป็นคุณหนูของบ้าน แต่ต้องกลายมาเป็นคนรับใช้ทำงานบ้าน ในขณะที่สามแม่ลูกใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ใช้จ่ายเงินทองอย่างสุรุ่ยสุร่ายกับงานสังคมต่างๆ เจ้าของบ้านอย่างนายพิพัฒน์ถูกย้ายมาอยู่บ้านหลังเล็ก ด้านหลังตึกใหญ่ซึ่งเคยเป็นเรือนคนใช้ ดาริกาถูกยึดห้องและไล่ลงมาอยู่รวมกับบิดาในบ้านหลังเล็กแสนคับแคบ นายพิพัฒน์เป็นลูกคนเดียวไม่มีญาติพี่น้อง ญาติคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนิทสนมมากนัก เมื่อแขไขมายึดอำนาจไป ก็เหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่สามารถต่อต้านได้แต่อดทนให้ผ่านไปวันๆ
“หนูดาวพ่อขอโทษ พ่อไม่ดีเอง ทำให้หนูต้องมาลำบากไปด้วย” นายพิพัฒน์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“หนูดาวไม่ได้ลำบากเลยค่ะ ขอเพียงได้อยู่กับคุณพ่อ ได้ดูแลคุณพ่อหนูดาวก็ดีใจแล้ว”
ดาริกาซบหน้าบนแขนของบิดา เอ่ยปลอบโยนท่าน นายพิพัฒน์มักจะโทษตัวเองอยู่เสมอว่าทำให้ลูกสาวลำบาก อาการทางกายก็หนักหนาพอแล้ว ยังจะมีอาการทางจิตที่เกิดจากความเครียดและการกล่าวโทษตัวเอง ส่งผลให้มีอาการหมองเศร้า บางครั้งก็นอนซึมไม่ยอมกินข้าวกินยา คนเป็นลูกได้แต่ปลอบโยนผู้ให้กำเนิด เกรงว่าอาการของท่านจะทรุดหนักลงไป
“ถ้าพ่อไม่หลงผิด ไปแต่งงานกับนางมารร้ายอย่างแขไข มันคงไม่ก้าวเข้ามาทำลายความสุขของเราสองพ่อลูก พ่อผิดต่อลูก ผิดต่อแม่ของลูกด้วย ทั้งที่พ่อสัญญากับแม่ของลูกก่อนตายว่า จะดูลูกให้ดีที่สุด แต่พ่อก็ทำไม่ได้ พ่อมันไม่ดีเอง”
นายพิพัฒน์กำหมัดทุบกับที่นอนระบายความอัดอั้นใจ เขาคิดเสมอว่าเขาไม่น่าหลงผิด รับผู้หญิงร้ายกาจจอมมารยาอย่างแขไขมาเป็นภรรยา หากเขาใจแข็งไม่ยอมรับผิดชอบหลังจากถูกอีกฝ่ายมอมเหล้าจนเผลอมีความสัมพันธ์กัน เขาคงไม่ต้องรับเธอมาทำลายครอบครัวของเขา ดาริกาจะไม่อยู่ในสภาพสิ้นไร้ไม่ตอกในบ้านตัวเอง ไม่ต้องทนถูกแม่เลี้ยงโขกสับ สมบัติพัสถานทั้งหลายของเขา ก็จะเป็นของลูกสาวคนเดียว ไม่ใช่ถูกคนนอกยักยอกเอาไปจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัวแบบนี้ เขาช่างน่าสมเพชที่ไม่อาจปกป้องดูแลลูกได้ นายพิพัฒน์นึกโทษตัวเองอย่างขมขื่น
“ใจเย็นก่อนนะคะคุณพ่อ อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ มันเป็นเวรกรรมของเราเอง หนูดาวสัญญานะคะว่า สักวันหนูดาวจะพาคุณพ่อออกไปจากที่นี่ ไปให้พ้นจากคนใจร้ายพวกนั้น”
ดาริกาจับมือบิดาเอาไว้ พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เธอต้องเข้มแข็งเพื่อพ่อของเธอ แขไขกับลูกแย่งชิงสมบัติไป แต่ไม่อาจแย่งชิงความหวังของเธอไป หากเธอสามารถพาบิดาออกไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่สองพ่อลูก หนทางข้างหน้าคงจะมีความสุขมากกว่านี้
“โธ่ หนูดาวพ่อขอโทษ พ่อขอโทษ”
นายพิพัฒน์ลูบศีรษะลูกสาวไปมา เอ่ยขอโทษซ้ำซาก
“อะไรกันคะ มาแสดงบทโศกดราม่าอะไรกัน”
น้ำเสียงดูแคนดังขึ้น ดาริกาหันไปมองพบว่าแขไขพร้อมกับลูกสาวทั้งสองคน เปิดประตูเข้ามาในห้อง เจนจรัสกับนลินรัตน์ไปยืนรวมกันอยู่ข้างๆ ประตู เอามือปิดจมูกตัวเองเอาไว้
“คุณแม่รีบๆ พูด แล้วออกไปกันเถอะค่ะ เจนเหม็นจะแย่”
“ใช่ค่ะ ลูกบัวไม่ชอบกลิ่นห้องนี้ อยากจะอ้วก”
เจนจรัสกับนลินรัตน์เอ่ยออกมา ทั้งสองแสดงท่าทีรังเกียจออกมาทางสีหน้า บ่นว่าไม่อยากมาห้องนี้ เพราะเหม็นกลิ่นยาและกลิ่นคนป่วย ตั้งแต่นายพิพัฒน์ล้มป่วยลูกเลี้ยงทั้งสองแวะมาเยี่ยมแทบนับครั้งได้ ไม่เคยอยู่ที่นี่นาน
“ทำอย่างกับแม่ไม่เหม็นนี่ ถ้าทนไม่ไหวก็ถอยไปห่างๆ” แขไขหันไปบอกลูกสาวทั้งสองคน ก่อนจะหันมามองสองพ่อลูก
“คุณพิพัฒน์ฉันมาหาคุณวันนี้ จะพูดเรื่องหนี้สินของคุณ ตอนนี้ทางเจ้าหนี้เขาเร่งรัดมาแล้ว เราไม่ได้ส่งดอกเบี้ยเกินเวลากำหนด เขาให้เราไปไกล่เกลี่ยฉันไปรับฟังข้อเสนอของเขามาแล้ว เห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี ฉันเลยมาปรึกษาคุณ”
แขไขร่ายยาวถึงหนี้สินของครอบครัว ตั้งแต่พิพัฒน์ป่วยก็ไม่ได้ชำระหนี้สิน ได้แต่ผัดผ่อนเรื่อยมา ตัวเธอเองก็ไม่เคยคิดจะหาทางช่วยสามีเรื่องนี้ ได้แต่ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินบางส่วนมาเป็นของตัวเอง หาทางหนีทีไล่หากถูกฟ้องล้มละลาย