9
“อุ๊ย!!” คนที่ถลาวิ่งมาอย่างเร็วเบรกกายจนศีรษะตุงคว้างไปข้างหน้า “คุณป๋านะเอง ตกใจหมดเลย” มธุรสปรับสีหน้าตื่นตระหนกให้เป็นปกติที่สุด พลางสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ มือเล็กลูบอกสลับหันมองไปด้านหลัง ก่อนผ่อนลมออกจากปอดเต็มๆ แรง เมื่อไอ้คนบ้าไม่ตามมาอย่างที่คิด
“น้ำผึ้งหายไปไหนมา คุณป๋ากำลังจะออกไปตามอยู่เลย” ภาวัติเอ่ยถามหลังจากชะเง้อคอมองออกไปหลายต่อหลายครั้ง เดินวนไปเวียนมาอย่างไม่กลัวเมื่อยน่องก็ยังไม่เห็นสาวน้อยน้ำผึ้งกลับมา ทำให้เป็นห่วงเป็นใย ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ ขืนวิ่งทะเล่อทะล่าไปเกิดเหตุเภทภัยเข้าคงยุ่ง ด้วยใบหน้าสาวน้อยน้ำผึ้งใช่จะขี้ริ้วขี้เหร่ ถ้าไปเจอกับฝรั่งอัปรีย์เข้า เขาไม่น่าตกลงให้หญิงสาวเที่ยวไกลถึงขนาดนี้เลย
“ไปทำอะไรมาล่ะเรา เหงื่อเต็มหน้าเลย แล้วไหนหมวกที่ไปเก็บ” ปลายมืออวบอูมยกขึ้นซับเหงื่อเม็ดเล็กๆ บนวงหน้านวลผ่องแดงปลั่งไล่ไปถึงลำคอ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เมื่อเห็นร่องรอยแดงเป็นจ้ำบนผิวกายเนียนนุ่ม
“แล้วนี่รอยอะไรน้ำผึ้ง” ภาวัติเอ่ยถาม แม้น้ำเสียงจะไม่คาดคั้น แต่สายตาจ้องจับผิด ด้วยสิ่งที่เห็นมันคือรอย...
“ระ...รอยนี้นะหรือคะ” ยกมือทาบบนลำคอ “เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ตอบกลับเสียงกระอึกกระอัก ยิ้มแหยๆ
“หมวกน้ำผึ้งปลิวไปเกี่ยวยอดต้นไม้ค่ะ ใช้ไม้เขี่ยหวังให้ตก แต่ไปโดนรังมดตกลงมาใส่ เลยถูกกัดเอาน่ะค่ะ” บอกเสียงอ่อยอย่างพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกประหลาดในใจ และหลบสายตาคล้ายรู้เท่าทันที่ทำให้ร้อนไปถึงใจ
“เจ็บจังเลยค่ะคุณป๋า แสบด้วย” ออดอ้อนเสียงหวานใส มือเล็กยกขึ้นกดซับเหงื่อ พร้อมถูไถหลังมือตรงส่วนที่ถูกไอ้บ้าหื่นกามจูบเอาๆ จนผิวแก้มนวลผ่องแดงปลั่ง แต่กลิ่นกายแห่งบุรุษเพศและความร้อนผ่าวก็ยังทาบทับอยู่บนผิวกายมิได้จางหายไปเลยสักนิด
“ก็น่าอยู่หรอก ดูสิแดงไปหมดทั้งคอและหน้าเลย เรานี่ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเองเอาเสียเลย มันน่าจับตีก้นซ้ำมากกว่า” เอ่ยอย่างระอิดระอาใจ แต่น้ำเสียงนั้นค่อนข้างห่วงใยและรักใคร่
“แหม...คุณป๋าน่ะ ไม่ปลอบแล้วยังจะมาทำโทษอีก” ตวัดใบหน้าคมค้อนขวับโต ก่อนคลี่ยิ้มอย่างออดอ้อน สอดมือเล็กจับแขนอวบใหญ่ ถูไถใบหน้ากับต้นแขนแกร่ง “คุณป๋าเช็กอินเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ น้ำผึ้งจะได้เข้าห้อง อาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อสบายตัวเสียหน่อย นอนสักตื่นแล้วลงมาเล่นน้ำทะเลให้ชุ่มปอด” พูดอย่างเริงรื่นกลบความรู้สึกพลุ่งพล่านที่เหลืออยู่ในเรือนกายให้จางหายมลายไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่า...
ในอกสาวหวั่นไหวอีกครั้ง เมื่อรู้สึกเหมือนมีไอเย็นพุ่งมากระทบแผ่นหลัง จนต้องรีบเหลือบสายตากวาดมองไปทั่วบริเวณอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ภาวัติจับได้
‘ไม่เห็นจะมีอะไรสักหน่อย เธอคงคิดมากไปเอง’ ศีรษะทุยสะบัดเล็กน้อย ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบาอย่างโล่งอก แต่ถึงจะบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก ด้วยมองแล้วไม่เห็นมีอะไร ทว่ายังรู้สึกเสียวที่แผ่นหลังและต้นคอวูบๆ คล้ายมีไอเย็นครอบคลุม ในหัวใจก็แฝงไว้ด้วยความวิตกระคนกังวลไม่ใช่น้อย
“มีอะไรปิดบังคุณป๋าอยู่หรือเปล่าน้ำผึ้ง”
แม้น้ำเสียงที่ถามจะไม่ได้คาดคั้นต้องการคำตอบ ทว่าคนถูกถามกลับเสียววูบในอก หวาดหวั่นกลัวถูกจับพิรุธได้ มธุรสฝืนยิ้มแหยๆ
“ปะ...เปล่านี่คะ ไม่มีอะไรสักหน่อย คุณป๋านั่นแหละ ถามน้ำผึ้งแปลกๆ มีอะไรหรือเปล่า” เอ่ยถามกลับเสียงค่อนข้างสั่น เหงื่อผุดไหลตามร่องรูขุมขน
‘นี่ไง...ว่าแล้วเชียว ไม่ยอมให้หลุดรอดสายตาเลยนะคะคุณป๋าขา’
“คำนี้คุณป๋าควรเป็นคนถามเรามากกว่านะ เป็นอะไรไป ทำไมถึงได้มีทีท่าลุกลี้ลุกลน หรือไปทำอะไรผิดมา ถึงได้ไม่กล้าบอกความจริง”
มธุรสรีบสอดมือเข้าไปคล้องแขน ทาบวงหน้ากับอกกว้าง “ใครจะกล้าปกปิดคุณป๋าล่ะคะ อีกอย่างน้ำผึ้งออกจะน่ารักขนาดนี้มีแต่คนอยากปกป้องต่างหาก”
“ไม่หลงตัวเองเอาเสียเลยนะเรานี่” โต้กลับพลางหัวเราะลงคอจนพุงกระเพื่อม ยกมือทาบบนศีรษะทุยขยี้เบาๆ อย่างเอ็นดู
“คุณป๋านะ...ทำอย่างนี้ได้ไง ผมน้ำผึ้งยุ่งหมดแล้วเห็นไหม” ทำหน้าบึ้งงอง้ำ ก่อนนัยน์ตาใสแจ๋วเป็นประกายราวเพชรสะท้อนแสงไฟ
“คุณป๋าขา...” เอ่ยเรียกเสียงหวานแผ่วพลิ้วหลอมละลายหัวใจคนถูกเรียกให้คล้อยตามในสิ่งที่เธอปรารถนาอยากจะได้
“เรียกทำไม มีอะไรอีกละเรา” เรียกเสียงหวานอย่างไม่กลัวว่ามดจะขนน้ำตาลทรายอย่างนี้ต้องมีอะไรอีกแน่นอน เลิกคิ้วขึ้นสูงมองสาวน้อยร่างบอบบางตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ มธุรสดูแปลกไปจริงๆ นั่นแหละ หายไปไม่ถึงชั่วโมงกว่านิดๆ เธอไปเจอกับอะไรมา ใครทำให้ไม่พอใจหรือว่าตกใจกลัวอะไร ถึงได้มีท่าทางแปลกๆ หน้าตาตื่นๆ และลุกลี้ลุกลนชอบกล กังวลจนหัวคิ้วขมวดเข้าหากัน
“เกิดอะไรขึ้นน้ำผึ้ง ใครกล้าทำร้ายดวงใจของคุณป๋า” มือใหญ่จับรั้งสองแขนเล็กและพาเดินไปนั่งบนโซฟาตัวนุ่ม ทาบทับบนพวงแก้มนุ่มแดงด้วยเลือดฝาดสาวให้มองสบตาด้วย “บอกมาคุณป๋าจะไปเอาเลือดหัวมันออก!” เอ่ยเสียงเข้มดุกร้าวไม่แพ้นัยน์ตา
โอบสองแขนรอบบ่ากว้าง ซึ้งใจจนน้ำตาเอ่อล้นกับความห่วงใยใส่ใจที่ได้รับมา แม้ขาดบางคนไปแต่ภาวัติก็เติมเต็มความรู้สึกให้ จนเธอคิดว่าตัวเองไม่ได้ขาดแต่มีมากจนล้นเสียด้วยซ้ำ
“โธ่...จะมีใครกล้าทำอะไรคนเก่งของคุณป๋าได้ล่ะคะ น้ำผึ้งแค่เห็นว่าคุณป๋าทำงานหนักมาตลอด อุตส่าห์ได้มาที่สวยๆ ทั้งที ก็อยากให้เที่ยวด้วยเท่านั้นเอง” รู้ว่าเหตุผลที่เอ่ยออกไปอ่อนมาก แต่ถ้าบอกความจริงไป ถึงภาวัติจะเก่งแค่ไหน แต่นี่เป็นต่างบ้านต่างเมือง กลัวการได้รู้ความจริงจะนำมาสู่เรื่องร้ายๆ มากกว่า
ศีรษะทุยส่ายแรงๆ นัยน์ตากลมใสวาวจ้า กลีบปากอิ่มนุ่มขบเม้มเข้าหากันด้วยความคั่งแค้นเต็มอก ใจหนึ่งก็อยากเจอไอ้ยักษ์ใหญ่จอมฉวยโอกาสนั่น ตอกกลับให้หน้าหงาย จะได้ไม่กล้าเอาเปรียบผู้หญิงอีก แต่อีกใจก็ไม่อยากเจอ ด้วยรู้ตัวเองเป็นรองอยู่หลายขุม อีกทั้งกลัวระงับอารมณ์ไม่ไหว ทำอะไรบุ่มบ่ามจะกลายเป็นยื่นเนื้อเข้าปากเสือเสียเปล่าๆ
กรามเล็กขบกัดจนมีเสียงดังกรอดๆ ไว้ใจไอ้ผู้ชายบ้านั่นได้ที่ไหนกัน อีกอย่างถ้าภาวัติรู้ความจริง เธอถูกจูบ! ไม่ต้องซื้อหวยหรอก คุณป๋าสุดหวงเธออย่างกับไข่ในหิน ได้รีบพากลับอย่างรวดเร็วนะสิ
“คุณป๋าอยู่เที่ยวกับน้ำผึ้งสักสองวันนะคะ...นะคะ” คราวนี้ไม่เพียงแค่เสียงออดอ้อนใสแจ๋ว แต่ทั้งสีหน้าและดวงตาที่ทอดมองภาวัติเว้าวอนหน้าเศร้าระคนคาดหวัง
“คุณป๋าติดงานสำคัญน่ะน้ำผึ้ง” ไม่ใช่ว่าไม่อยากอยู่ ใครจะกล้าปล่อยปลาย่างสวยๆ ไว้กับแมวฝรั่งตัวโตๆ ที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีคนดอดเข้ามาแอบคว้าปลาย่างหวานๆ ไปครอง คิดแล้วอยากยอมเสียเงินค่าห้องโดยไม่ใช้บริการ พามธุรสตามติดไปทำงานด้วยดีกว่า แต่พอนึกถึงจำนวนเงินที่จ่ายไปแล้วก็อดเสียดายไม่ได้
“คุณป๋าใจร้าย ไม่รักน้ำผึ้งแล้วใช่ไหมล่ะ ถึงได้ปล่อยให้อยู่คนเดียว” มธุรสทำเสียงน้อยใจ สองแขนสอดไขว้ระหว่างอก เชิดหน้านวลผ่องขึ้นสูง หันมองออกไปนอกบริเวณฟรอนต์ แต่ยังแอบเหลือบสายตามองภาวัติเป็นระยะ
“น้ำผึ้งอย่าทำให้คุณป๋าหนักใจสิ ก็รู้อยู่คุณป๋าไม่ได้อยากให้สาวน้อยแสนน่ารักอยู่คนเดียว หรือไปด้วยกันดีไหม”
น้ำเสียงห้าวอบอุ่นแต่เด็ดขาดบ่งบอกถึงความหนักอกหนักใจดังมา ทำให้คนแสนงอนเก่งถึงกับถอนใจ แต่ก็ยังอยากลองดูอีกครั้ง มธุรสปรับเปลี่ยนสีหน้าบูดบึ้งให้เป็นยิ้มหวานระรื่น