นวินวรรษเป็นผู้ชายที่สะดุดตาผู้พบเห็นโดยเฉพาะเพศตรงข้ามทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึงบุคลิกที่เป็นสง่า
ครั้งสุดท้ายที่พบเขาหล่อนอายุสิบเก้าปีบริบูรณ์ขณะชายหนุ่มย่างสามสิบเอ็ด
เวลาผ่านไปหกปี หล่อนยี่สิบห้าเขาก็ต้องสามสิบเจ็ด อีกสามปีจะสี่สิบ
ผู้ชายวัยสามสิบเจ็ดจัดว่าเป็นหนุ่มใหญ่ แต่รูปร่างเขาแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงความสูงใหญ่ไหล่กว้างดูทรงพลังแม้จะผอมลงกว่าที่หล่อนเจอเขาครั้งสุดท้าย
กะจากสายตา ส่วนสูงเขาเท่าเดิมแต่น้ำหนักน่าจะหายไปหลายโล
หน้าตายังคมสันและกร้าวกระด้าง สะดุดตาและชวนมอง แก้มที่เคยดูเต็มตอบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับยิ่งทำให้ดูเฉี่ยว มีเสน่ห์และเซ็กซี่ยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ คนที่หล่อนเคยรู้จัก
บนใบหน้าคมสันมีรอยแห่งวัยตามวัน เวลาที่ผ่านไปประทับลงมาอย่างเห็นชัด โดยเฉพาะบริเวณมุมปากทั้งสองข้างมีรอยกดลึก ทำให้เวลาเขายิ้มดูเหมือนหยันอยู่ตลอดเวลา
ผมหยักศกเส้นสลวยของเขายังดกหนาเริ่มมีสีเงินแซมประปรายบริเวณจอนหูทั้งสองข้าง แต่แทนที่จะทำให้ดูแก่กลับส่งลักษณะของเขาให้ภูมิฐานยิ่งขึ้น
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจัดของเขา ครั้งหนึ่งเคยฉายแววโทมนัสเศร้าโศกจากการสูญเสีย เวลานี้ยังปรากฏรอยหม่น เพียงแต่มีความแกร่งกระด้างดุจเหล็กกล้าเข้ามาแทนริ้วรอยของคนพบความสูญเสียมามาก เพิ่มเข้ามา
แววตาสิ่งของเขานี้เอง ทำให้สีหน้าเมื่อประกอบรอยกดลึกข้างมุมปากและจมูก ออกลักษณะหยามหยันอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าลึกลงไปอาจจะมีไฟแรงร้อนของอารมณ์ซ่อนอยู่
“กัญแต่งงานหรือยัง”
คำถามที่ไม่ทันคิดว่าเขาจะถาม ทำเอาหล่อนสะดุ้ง
“อะไรกัน คำถามสำหรับคนไม่ได้พบกันนานธรรมดา ๆ ทำเอาตกใจเลยเหรอ”
เสียงของเขาฟังว่าล้อ แต่แววตาขณะรอคำตอบนอกจากจะไม่มีแววยิ้มหัวล้อเลียน ยังเคร่งจัด จนดูเป็นความเย็นชาทีเดียว
หล่อนมองตาเขาครู่เดียวแล้วหลบ
“กัญ…มีลูกสาวคนหนึ่งแล้วค่ะ”
ตอบออกไปแล้วก็หวังว่าเขาจะไม่สะดุด ว่าตอบไม่ตรงคำถาม แต่คำตอบของหล่อนก็ทำเอาเขาก็นิ่งไปนาน
กัญชพรไม่กล้าสบสายตาคมที่จ้องมา จึงไม่เห็นปฏิกิริยาบนหน้าสะอาดคมสัน
ปากได้รูปงามเม้มแน่นเกือบจะดูเป็นว่าเจ้าตัวกำลังขบฟันเข้าหากันเพื่อระงับอารมณ์ชนิดหนึ่งที่พุ่งขึ้นมาแรงเร็ว
“อ้อ!”
หล่อนเงยหน้าขึ้นจากที่มองปลายรองเท้าหนังดำเป็นมันปลาบมามองหน้า เมื่อหูได้ยินเสียงพูดค่อนข้างห้าวห้วน นึกภาวนาในใจว่าอย่าให้เขาถามถึงพ่อเด็ก รวมถึงอายุของลูกของหล่อนเลย
“พี่ดีใจด้วย ลูกสาวของกัญคงน่ารักเหมือนแม่สมัยยังเด็ก”
“ค่ะ”
กัญชพรยอมรับ ไม่รู้ตัวเลยว่าสีหน้าละมุนลงยามเอ่ยถึงลูกสาวโดย แต่คนมองหน้าหล่อนอยู่แล้ว เห็นชัดถึงความรักความอ่อนโยนบนสีหน้ายิ้มๆ
“น่ารักมาก ซนมากด้วย แต่ก็ฉลาดที่หนึ่ง ประจบให้คนตามใจก็เก่ง”
“เหมือนกัญสินะ”
นวินวรรษพูดยิ้มๆ ตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าต้องฝืนอารมณ์แท้จริงแค่ไหน
“ไม่เหมือนเลยแหละค่ะ”
ตอบยิ้มๆ ดวงตาประกาย
“น้องอ่อนออกจะเหมือน…พ่อของแกทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอมากกว่าจะเหมือนกัญ”
“กัญคงรักลูกมากสินะ”
กัญชพรไม่ทันสำเหนียกกังวานเสียงแปร่งๆ
“ค่ะ รัก รักมาก!”
หล่อนเน้นเสียง มองหน้าคมสันนั้นเต็มตา
“ถ้าพ่อของแกคือดวงใจ น้องอ่อนก็คือแก้วตาของกัญ”
หล่อนยิ้มขมออกมานิดหนึ่ง ทว่าคนฟังมีสีหน้าคล้ายจะช็อก
“กัญเห็นจะต้องลาพี่วรรษกลับไปทำงานต่อแล้วล่ะค่ะ”
“แต่พี่ลาหัวหน้าของกัญให้แล้วนะ”
นวินวรรษพูดอัตโนมัติ หน้ายังขึง
“ไม่เป็นไรค่ะ กัญแค่เป็นลม ตอนนี้ก็หายดีแล้ว ไม่อยากลางานบ่อยๆ เอาไว้คราวจำเป็นจริงๆ ค่อยลา คนมีลูกเล็กความจำเป็นในที่จะลางาน เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อย เพราะโรคเด็กสารพัดจะเรียงกันมาให้ต้องรับมือไม่ว่าหวัด เป็นไข้ ออกหัด ไอกรน ที่คนเป็นแม่ต้องดูแลใกล้ชิด น้องอ่อนเป็นเด็กเลี้ยงง่าย แต่เวลาไม่สบายจะไม่เอาใครเลยนอกจากแม่”
กัญชพรอดรู้สึกไม่ได้ว่านวินวรรษทำหน้าชอบกล เลยถือจังหวะนั้นตัดบทกล่าวลาเขาอย่างคนไม่มีความขุ่นเคืองต่อกัน
“กัญไปก่อนนะคะ”
หล่อนเดินเกือบถึงประตูอยู่แล้วเมื่อเสียงห้าวมีกังวานทุ้มนุ่มเรียกมา
“กัญ”
“คะ”
หล่อนชะงัก แต่ไม่ได้หันกลับ
“พี่พูดจริงๆ นะ เมื่อบอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรขอให้บอก พี่เต็มใจช่วยกัญเสมอในทุกๆ เรื่อง”
“ขอบคุณค่ะ”
หล่อนหันกลับมาไหว้ขอบคุณเขา
“แต่คงไม่มีอะไรต้องรบกวนพี่วรรษ กัญเคยตัวเสียแล้วที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง แต่ก็ต้องขอบคุณที่พี่วรรษยังมีน้ำใจต่อกัญ”
ร่างบางลับสายตาไปแล้ว ทิ้งไว้แต่กลิ่นหอมอ่อน แต่นวินวรรษยังยืนขึง
เขารู้สึกได้ เขาพลาดบางอย่างไป แต่จะพลาดอะไร เขายังหาคำตอบไม่ได้
กัญชพรตัดสินใจกลับบ้าน แทนที่จะไปทำงานต่อตามที่บอกนวินวรรษ
หล่อนไม่ได้ตั้งใจจะพูดปด แต่รู้ตัวว่าคงทำงานไม่รู้เรื่อง เพราะจนนาทีนี้ก็ออกจะยังมึนๆ และมีอาการผวาอยู่นิดๆ กับการเผชิญหน้าคนที่หล่อนตั้งใจจะหนีหน้าตลอดชีวิต แบบไม่คาดฝัน