ตอนที่ 5 ชีวิตในกรงทอง

4485 Words
“อื้อ...” ร่างเล็กบนตักเผลอครางกระเส่าออกมาด้วยความลืมตัวเมื่อมือหนาที่รุกล้ำเข้าไปด้านในเริ่มขยับเข้าออก จากความแสบสันในตอนแรกกลายเป็นความรู้สึกแปลกใหม่อย่างน่าพิศวง หญิงสาวเม้มมากแน่น เงยหน้าขึ้นด้วยความรัญจวญ ทำให้คนที่กำลังบดคลึงกลีบกุหลาบงามยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ มือหนาจับศีรษะเล็กให้เงยหน้าขึ้นเพื่อมอบจุมพิตที่เร่าร้อนและหวานฉ่ำในขณะที่มืออีกข้างยังคงขยับเข้าออกเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนหยาดน้ำค้างพร่างพราวเต็มฝ่ามือใหญ่ ลิ้นร้อนโบกตวัดเซาะเล็มหาความหอมหวานภายในโพรงปากนุ่มนิ่ม พยายามดึงดันฝ่าด่านประการณเข้าไปหยอกเย้ากับลิ้นเล็ก ๆ ดูดดึงมันสลับกับริมฝีปากบนและล่างอย่างพึงพอใจจนร่างงามเริ่มโงนเงน ถึงตอนนั้นชายหนุ่มจึงยอมปล่อยให้หญิงสาวนอนรอบบนที่นอนในขณะที่มือหนายังไม่ถอดถอนออกมาจากซอกหลืบชุ่มฉ่ำ “พะ...พอเถอะค่ะ พอเถอะ” มินรดาร้องปราม เธอรู้สึกเหนื่อยหอบจนหายใจไม่เป็นจังหวะ มือไม้ที่อ่อยยวบพยายามปัดป่ายมือหนาที่กำลังรุกรานให้ออกไป “ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอ” “อ๊ะ ! อ๊าย...” หญิงสาวตัวบิดเร่าเมื่อคำถามของเขาเมื่อครู่มาพร้อมกับนิ้วเรียวอีกนิ้วที่สอดเข้าไปจนรู้สึกคับแน่นไปหมด “ฉันว่าเธอน่าจะชอบนะ” “มะ...ไม่ อ๊ะ...อื้อ...” ดวงตากลมโตปิดสนิทแน่น สัมผัสว่าลิ้นร้อนกำลังโบกตวัดอยู่ตรงกลีบกุหลาบงามในขณะที่มือหนาก็ยังซุกซนอยู่ข้างใน ใบหน้าหวานส่ายสะบัดจนผมเผ้าแผ่สยายไปทั่วหมอนใบใหญ่ เผลอแอ่นกายตอบรับสัมผัสนั้นด้วยความรัญจวน เจ้าของร่างสูงใหญ่ในเงามืดคลี่ยิ้ม หญิงสาวพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับถูกแรงบกขยี้ตรงกลางกายทำให้ขัดขืนเชื่องช้าลง หัวใจเต้นเร็วขึ้น ขาสองข้างขยับเข้าหากันจนบดเบียดไปกับใบหน้าของเขา “ยะ...อย่า...พอได้แล้ว” ใบหน้าหวานเหยเก ขยับกายถอยหนีจากสัมผัสที่แสนอันตราย แต่ก็ถูกมืออีกข้างจับเอวบางล็อคไว้ก่อนที่ชายหนุ่มจะดูดดึงขบเม้มเกสรดอกไม้สลับกับนิ้วเรียวที่ยังคงเข้าออกเป็นจังหวะ “อืม...” เสียงนุ่มทุ้มครางกระเส่าออกมาเบา ๆ ริมฝีปากที่ร้อนฉ่ายิ่งกว่าไฟยังเซาะเล็มอยู่ตรงซอกหลืบเร้นลับ นิ้วเรียวหนึ่งนิ้วถูกถอดถอนออกมาก่อนที่เขาชิวหานุ่มจะค่อย ๆ ควานเข้าไปแทนที่ เขาสลับดูดดึงอยู่แบบนั้นจนมินรดาหายใจเหนื่อยหอบ สติที่เหลืออยู่น้อยนิดคล้ายเหมือนจะล่องลอยหายไปเมื่อร่างกายกระตุกสองสามครั้ง เธอรู้สึกราวกับว่าถูกกลืนร่างจนลอยหายไปกับเกลียวคลื่นขนาดใหญ่ในมหาสมุทร ทันทีที่พยายามแหวกว่ายขึ้นมาสูดอากาสได้สำเร็จ หญิงสาวจึงสำลักน้ำออกมาจนมันท่วมท้นฝ่ามือใหญ่ก่อนที่เขาจะถอดถอนนิ้วเรียวออกมาแล้วก้าวลงไปยืนที่ปลายเตียงเพื่อจะการเสื้อคลุมบนกาย “คราวนี้ก็ถึงตาฉันบ้าง...” เสียงนั้นดังขึ้นในความมืด มินรดาพยายามปรือตาขึ้นมอง แต่ก็เห็นเพียงเงาของเขาเท่านั้น “มานี่” “กรี๊ด ! ” หญิงสาวร้องเสียงหลง ในตอนแรกเธอเข้าใจผิดคิดว่าเขาคงจะจากไปแล้ว รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ข้อเท้าเรียวถูกเขากระชากสุดแรงจนร่างบางร่วงหล่นลงไปนั่งอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบ “จัดการซะ” คำสั่งห้วน ๆ ดังขึ้นตรงหน้า ทำให้คนที่กำลังเหนื่อยหอบรีบขยับหนีอีกครั้งแต่ก็ถูกฝ่ามือหนากระชากผมที่ยาวสลวยของเธอเพื่อให้หญิงสาวลุกนั่งจนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังดีดผึงอยู่ตรงริมฝีปาก “คุณจะให้ฉันทำอะไร” มินรดาเอ่ยถามออกไปด้วยความหวาดกลัว แม้จะมองไม่เห็นแต่เธอก็พอเดาออกว่าตอนนี้เธอกำลังนั่งพิงอยู่ตรงขอบเตียงโดยที่เขากำลังยืนอยู่ตรงหน้า “ก็ทำแบบนี้ไง” ฝ่ามือใหญ่หนึ่งข้างจับศีรษะเล็กเอาไว้ส่วนอีกข้างบีบแก้มของเธอสุดแรงจนหญิงสาวต้องอ้าปากเพื่อระบายความเจ็บปวด ยังไม่ทันจะได้หายใจหายคอ มือที่จับศีษะของเธอไว้ก็ดันใบหน้าเธอมาข้างหน้าก่อนที่มินรดาจะสัมผัสได้ว่าบางอย่างที่ชนปากเธอเมื่อครู่มันกำลังเข้าไปข้างในจนแทบจะถึงคอ “อา...อย่างนั้นแหละ...ดีมาก” “อื้อ...” หญิงสาวส่ายหน้าพัลวัน ถึงเธอจะไม่เคยผ่านเรื่องอย่างว่ามาก่อนแต่ก็ใช่ว่าจะไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในปากมันคืออะไร “ทำให้มันดี ๆ หน่อย อย่าลืมสิว่าถ้าเธอทำให้ฉันไม่พอใจ เธอจะต้องถูกส่งตัวไปที่ซ่องนั่นอีก” คำขู่ของเขาทำให้หญิงสาวชะงัก ร่างสูงจึงปล่อยศีรษะเล็กให้เป็นอิสระเพื่อที่หญิงสาวจะได้จัดการมันด้วยตัวเอง มินรดาถอดถอนรีมฝีปากออกจากเจ้าอาวุธร้ายที่ประจันอยู่ตรงหน้า ถึงจะมองไม่เห็นแต่ก็รับรู้ได้ว่าขนาดของมันคงจะใหญ่โตไม่น้อย มือเรียวที่ดันหน้าขาของชายหนุ่มเอาไว้ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปจับส่วนลำตัวของเจ้ามังกรยักษ์ ใช้ประสบการณ์ที่แทบจะไม่มีขยับสาวมันขึ้นลงช้า ๆ ดวงตากลมโตเปียกรื้นไปด้วยน้ำหยดใส สัญชาตญาณการเอาตัวรอดสั่งให้เธอเงยหน้าขึ้นใช้ลิ้นแตะลงส่วนปลายเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ งามงับความเป็นชายช้า ๆ จนได้ยินเสียงครางกระเส่าจากผู้เป็นเจ้าของ “ดีมาก...อย่างนั้นแหละ...ลินดา” ถ้อยคำชื่นชมของเขาไม่ทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย มือเรียวยังคงสาวมันขึ้นลงช้า ๆ สลับกับดูดดึงและใช้ลิ้นลามเลียไปตามส่วนหัวและลำตัวจนเจ้ามังกรยักษ์เริ่มสำลักน้ำเหมือนเธอเมื่อครู่ ชายหนุ่มจึงกระชากแขนเรียวให้หญิงสาวยืนขึ้นตรงหน้า แต่ส่วนสูงที่ต่างกันทำให้ใบหน้าหวานอยู่แค่ระดับอกของเขาเท่านั้น อีกฝ่ายจึงต้องเป็นฝ่ายโน้มตัวลงเพื่อมอบรางวัลให้ริมฝีปากเล็กที่สามารถทำให้เขาพอใจได้จนสำเร็จ “อ๊ะ ! ” มินรดาตาลุกวาว เมื่อสองแขนโอบกระชับร่างของเธอจนลอยขึ้นเหนือพื้นก่อนที่เขาจะโยนลงไปบนเตียงนอนหนานุ่ม ใช้มือกระชากชุดแม่บ้านตัวน้อยออกอย่างไม่ใยดีจากนั้นจึงขึ้นมาคร่อมร่างของเธอเอาไว้ จนหญิงสาวต้องรีบปราม “ฉันคิดว่าฉันทำให้คุณพอใจได้แล้วนะ” “ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันจำได้นะว่าฉันยังไม่ได้บอก” “แต่ว่าฉัน...อื้อ...” ริมฝีปากร้อนฉ่าบดขยี้ลงบนริมฝีปากเล็กที่กำลังประท้วงจนเสียงนั้นเงียบหายไป แต่ก็ยังพยายามจะผลักร่างของเขาออกไปด้วยใช้เล็บจิกลงบนแผงอกกว้างสุดแรงจนชายหนุ่มร้องเสียงหลง “โอ้ย ! ชอบความรุนแรงรึไง ได้...ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ใจดีแล้วเหมือนกัน” “ไม่นะ คุณจะทำอะไร ไม่...อ๊ะ” มินรดาตัวชาหนึบเมื่อมือหนาจับขาเรียวทั้งสองข้างแยกออกจากกันจากนั้นจึงจับอาวุธร้ายถูไถไปตามร่องน้ำคับแคบก่อนจะจัดการส่งมันเข้าไปด้านในครั้งเดียวจนสุดทาง “กรี๊ด ! เจ็บ ฉันเจ็บ ไอ้บ้า เอามันออกไป เอามันออกไป ฮือ...” หญิงสาวร้องลั่นออกมาไม่เป็นภาษา รู้สึกราวกับว่าร่างกายถูกจับทึ้งจนฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ ความเจ็บปวดมากมายประเดประดังเข้ามาจนน้ำหูน้ำตาไหล ก่นด่าคนที่อยู่เบื้องบนด้วยภาษาไทยที่แสดงถึงความเกลียดชังเพราะเข้าใจว่าเขาคงฟังไม่ออก “ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ ปล่อยฉัน ! ” “อย่าดิ้นสิ อยู่นิ่ง ๆ ” ชายหนุ่มตวาดลั่น เขาเองก็รู้สึกเจ็บไม่ต่างกันจนต้องหยุดนิ่งเพื่อตั้งสติ แต่ถึงกระนั้นถ้อยคำก่นดาจากคนตัวเล็กก็ยังไม่เงียบหายไป “คนใจร้าย ฮือ ๆ ทำไมต้องทำกับฉันอย่างนี้ด้วย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากขายตัว คนเลว...ฮือ...” ดวงตาคู่งามสีอำพันจ้องมองเรือนร่างเปล่าเปลือยของคนใต้ร่างด้วยสายตาเรียบเฉย ถึงจะเห็นน้ำตาหยดใสไหลรื้นออกมาเขาก็ไม่สามารถหยุดมันได้อีก ยิ่งแสงไฟสีนวลจากเชิงเทียนส่องมากระทบกับผิวขาวละเอียดของเรือนร่างงาม มันยิ่งทำให้เจ้าหล่อนดูมีเสน่ห์ขึ้นจนต้องเอื้อมมือขึ้นไปบีบขยำเต้างามที่ใหญ่ล้นเกินตัวของหญิงสาวเพื่อระบายความเสียวซ่านที่แทบประทุ “ฮึก ๆ ฮือ...” เสียงสะอื้นร่ำให้ค่อย ๆ เงียบหายไปเมื่อริมฝีปากร้อนของคนมากประสบการณ์งามงับเม็ดทับทิมสีสวยบนเนินเนื้อคู่งาม ลิ้นที่โบกตวัดสลับกับฟันที่ขบเม้มเบา ๆ ทำให้อารมณ์แปลกใหม่เริ่มเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวดจนเผลอแอ่นกายตอบรับสัมผัสนั้นอย่างเร่าร้อน “ทีนี้ก็พร้อมแล้วสินะ” ริมฝีปากบางได้รูปหยัดยิ้มก่อนจะเริ่มขยับกายถอดถอนเจ้าอาวุธร้ายออกมาเกือบสุดแล้วจึงกระแทกเข้าไปใหม่ ทำแบบนั้นอยู่สองสามครั้งจนร่องคับแคบเริ่มมีน้ำไหลหลาก จากจังหวะเนิบนาบในตอนแรกจึงค่อยเร็วขึ้นและแรงขึ้นเจ้าสองเต้างามนั้นกระเพื่อมไหวไปตามจังหวะกระแทกกระทั้น “อ๊ะ ๆ อ๊าย...” คนใต้ร่างหลับตาพริ้ม ยินดีรับความปรารถนาที่ถาโถมเข้ามาโดยไม่ได้คิดหนีเหมือนในตอนแรก แม้พยายามเม้มปากไว้แน่นแต่ก็ยังมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาเมื่อนิ้วมือร้ายกาจของเขาแกล้งบดบี้ลงบนเม็ดเกสรในขณะที่เจ้าอาวุธร้ายก็ยังขยับเข้าออกจนซอกหลืบเร้นลับนั้นมีน้ำไหลเจิ่งนองออกมาไม่ขาดสาย มินรดาหูตาพร่าเลือน เธอไม่รู้เลยว่าความรู้สึกแปลกใหม่นี้เขาเรียกว่าอะไร ทำไมมันถึงได้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแบบนี้ “สวย...สวยมาก อืม...” ร่างสูงพึมพำออกมา อาศัยแสงไฟจากเชิงเทียนจับจ้องไปที่ร่างงามเบื้องล่าง ยิ่งเห็นกลีบกุหลาบงามกำลังกลืนกินแกนกาย อารมณ์ความปรารถนาก็ยิ่งปลุกปั่น เขาจัดการถอดถอนแกนกายออกแล้วจึงพลิกกายสาวให้นอนคว่ำหน้าลง จับสะโพกกลมกลึงให้สูงขึ้นพอดีกับแท่งร้อนก่อนจะจับมันเข้าไปใหม่อีกครั้งจากทางด้านหลังจนมินรดาผวาเฮือกร้องลั่นออกไม่เป็นภาษา “อื้อ...มันจุก...จุก...อ๊าย...” “จุกแล้วชอบไหมละ” คนทีอยู่ด้านหลังเอ่ยถามพร้อม ๆ กับฝ่ามือใหญ่ที่ฟาดลงบนสะโพกงามจนเป็นรอยแดง หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจจะตอบคำถามนั้น เธอได้แต่ซุกใบหน้าลงบนหมอนใบใหญ่ จิกผ้าปูที่นอนเพื่อระบายความเสียวซ่านในขณะที่สะโพกยังคงถูกรุกรานจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นสนั่นไปทั้งห้อง ชายหนุ่มระรัวสะโพกถี่ขึ้นทำให้ศีรษะเล็กสั่นคลอนไปตามจังหวะ มือหนาจับสะโพกกลมกลึงไว้ทั้งสองข้างออกแรงบีบอ้ามันเพื่อจะส่งตัวตนเข้าไปได้ลึกยิ่งขึ้นจนมินรดาร้องครางออกมาอย่างลืมอาย “อ๊าย...อื้อ...ซี๊ด...พอแล้ว อ๊ะ ๆ ” “ชอบก็ร้องออกมาเลย แม่สาวน้อย” เขากระซิบข้างหูเสียงแหบพร่าก่อนที่จะจับเขียวเรียวทั้งสองข้างเพื่อให้ใบหน้าหวานผละจากหมอนใบใหญ่และดูคล้ายกับกำลังขี่ม้าแสนพยศ รู้สึกเสี่ยวซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มินรดาหูอื้อตาลาย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เจ้าอาวุธร้ายมันขยับเข้าออกอยู่แบบนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ชายหนุ่มลากเธอลงจากเตียงทั้งที่ส่วนนั้นยังไม่แยกออกจากกัน แม้จะรู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกไปนอกจากปล่อยให้เขาลากไปลากมาตามอำเภอใจเพราะเธอเองก็ปฏิเสธไม่ลงว่าเขากำลังทำให้เธอมอมเมาไปกับรสสวาทไปไม่น้อยเหมือนกัน สองเท้าที่กำลังอ่อนยวบขยับไปตามเส้นทางที่เขาชี้นำ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่โต๊ะใกล้กับเชิงเทียน เป็นเพราะกำลังหันหลังให้เธอจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้นอกจากแขนกำยำที่กำลังจับอยู่ตรงขอบโต๊ะเท่านั้น เส้นเลือดที่ปูดโปนกับกล้ามเนื้อที่แน่นจนเป็นมัดทำให้มินรดาพอจะโล่งใจไปเปราะหนึ่งที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ถูกชายวัยแปดสิบเปิดบริสุทธิ์เหมือนที่คิดในตอนแรก แสงไฟสีนวลที่ส่องกระทบมาทำให้ดวงตากลมโตมองเห็นรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ตรงหลังมือใหญ่และเหมือนเขาจะรู้ว่ากำลังถูกมอง ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนตำแหน่งมาที่เตียงตามเดิม “อ๊ะ ๆ ไม่ไหวแล้ว อ๊าย ๆ ” ชายหนุ่มแกล้งขยับเอวถี่ขึ้นจนหญิงสาวกระตุกเสร็จสมแตะขอบสวรรค์ในที่สุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมหยุด หลังจากถอดถอนตัวตนออก ร่างสูงกลับพลิกกายสาวให้นอนหงายแล้วดึงดันมันเข้าไปใหม่ ลีลารักหนักหน่วงจากผู้เจนจัดที่เธอไม่เคยเห็นหน้าทำเอาสาวอ่อนประสบการณ์อย่างมินรดาถึงกับตัวอ่อนยวบเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ สองขาถูกจับวางพาดบนไหล่กว้างเพื่อที่ชายหนุ่มจะได้บรรเลงบทเพลงรักที่แสนยาวนานต่อไปอย่างไม่รู้จบ นานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้ที่มินรดาปล่อยให้คนแปลกหน้าตักตวงความสุขจากร่างกาย รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่แสงแดดอ่อน ๆ จากเช้าวันใหม่สาดส่องเข้ามาผ่านกระจกบานใสบนชั้นสองของคฤหาสน์หลังใหญ่ ดวงตากลมโตกระพริบถี่เพื่อปรับให้มันคุ้นชินกับแสงแดดที่ส่องสว่างจ้าเข้ามาในห้อง รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว หวนคิดถึงความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอีกครั้งจนกระทั่งเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังขึ้น มินรดาจึงต้องตื่นขึ้นมาเต็มตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ตื่นแล้วก็รีบลุกสิ แล้วก็ไปอาบน้ำซะ ฉันจะได้จัดที่นอน” แมรี่ ป้าแม่บ้านวัยสี่สิบปลาย ๆ ยืนท้าวสะเอวอยู่ปลายเตียงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์หลังจากที่วางจานอาหารเช้าเตรียมไว้ให้บนโต๊ะใกล้กับระเบียงห้อง “ป้า...” “เลิกเรียกฉันว่าป้าสักทีเถอะ ฉันชื่อแมรี่” เธอกล่าวแนะนำตัวแบบไม่ค่อยเป็นมิตรก่อนจะหันไปหยิบไม้กวาดตรงมุมห้อง แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามินรดายังนั่งอยู่ที่เดิม “อ้าว ! ฉันบอกให้ไปอาบน้ำไง ยังนั่งบื้ออยู่ได้” “เอ่อ...” มินรดา กวาดสายตามองไปรอบห้องแล้วพบว่าห้องที่เธออยู่ไม่ใช่ห้องเดียวกับที่เธอไปเมื่อคืน “ป้า...เอ่อ...แม่รี่อุ้มฉันกลับมาเหรอคะ” “จะบ้ารึไง ถึงฉันจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงพอที่จะอุ้มเธอมาหรอกนะ” “แล้ว...ฉันกลับมาที่นี่ได้ยังไง” มินรดาครุ่นคิดหลังจากที่ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องแรกที่เจสันพามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อคืน “คุณหนูคงอุ้มเธอกลับมาน่ะสิ” “คุณหนู...” หญิงสาวทวนคำช้า ๆ สังเกตได้ว่าแมรี่รีบเอามือปิดปากตัวเองไว้เหมือนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเพิ่งพูดความลับออกมา “คุณหนูที่ว่าคือใครคะ” “พอได้แล้ว ฉันไม่ใช่คนที่ต้องมาคอยตอบคำถามเธอหรอกนะ รีบไปอาบน้ำแล้วก็กินข้าวกินยาซะ” แมรี่ตัดบทแต่เพียงเท่านั้นก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากห้องเพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามต่อ หญิงสาวจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วลงจากเตียงเพื่อจะอาบน้ำชำระร่างกาย เพราะเธอเองก็รู้สึกเหนียวตัวจะแย่เหมือนกัน “โอ้ย ! ” ทันทีที่ขาสองข้างก้าวลงแตะพื้น ความเจ็บปวดตรงกลางกายก็พุ่งปรี๊ดขึ้นจนขาสองข้างแทบทรุด ยิ่งเป็นการตอกย้ำเป็นอย่างดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเธอไม่ได้ฝันไป “บ้าที่สุด” มินรดาพึมพำออกมาแผ่วเบา พยายามพาร่างที่แทบจะไม่มีแรงของตัวเองเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างคราบคาวที่ยังติดตัวไม่จางหาย เสียงน้ำจากฝักบัวกระทบบนพื้นพอช่วยกลบเสียงสะอื้นร่ำไห้ของหญิงสาวไปได้บ้าง มือเรียวถูเนื้อตัวบนร่างกายราวกับจะลบล้างรอยแดงที่เป็นเหมือนสิ่งตอกย้ำที่แสนเลวร้ายในชีวิตเธอออกไป ความสาวความสวยที่เธอเก็บรักษาไว้เพื่อมอบให้แฟนคนแรกที่เธอหวังเข้าหอลงโลงด้วยอย่างกฤษณะกลับต้องมามาป่นปี้เพราะความหูเบาหลงเชื่อคำพูดของผู้ชายเลว ๆ จนต้องมาเสียตัวให้กับชายแปลกหน้าที่เธอไม่แม้แต่จะเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ “ฮือ ๆ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย” มินรดาร้องไห้หนัก ในขณะที่ก้มลงมองกลีมกุหลาบงามของตัวเองที่ยังบวมแดงเพราะบทเพลงรักที่แสนยาวนานจากค่ำคืนที่ผ่านมา เพียงแค่ขยับขาก้าวเดินก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่จุกอยู่ตรงส่วนนั้นจนรู้สึกราวกับว่าร่างกายเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดวงตากลมโตจ้องมองร่างกายที่น่าสมเพชของตัวเองผ่านเงาสะท้อนในกระจกห้องน้ำ ยิ่งเห็นรอยแดงบนเนินเนื้อคู่งามไล่ขึ้นไปจนถึงลำคอขาวระหง หัวใจดวงน้อยก็ยิ่งบอบช้ำ ขาสองข้างก็เริ่มอ่อนแรงจนทรุดกายลงนั่งร้องไห้ผ่านม่านน้ำเย็นเฉียบที่ไหลมาจากฝักบัว “เสร็จแล้วเหรอ กินข้าวซะสิ” แม่รี่เอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้ามาในห้องอีกครั้งเพื่อทำความสะอาดห้องนอนแล้วพบว่าหญิงสาวเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ใบหน้าที่บึ้งตึงดูอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นว่าดวงตาคู่เศร้านั้นแดงก่ำ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาทรุดกายนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าที่กำลังเหม่อลอย แม้จะรู้สึกเห็นใจแต่เธอก็ทำได้แค่ยื่นมือไปแตะไหล่เล็กเบา ๆ เท่านั้น “ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว อย่าลืมทานซะด้วยล่ะ” แมรี่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อหญิงสาวไม่ได้พูดหรือเอ่ยถามอะไรเหมือนก่อนหน้านี้ แม่บ้านวัยกลางคนจึงเก็บอุปกรณ์แล้วเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมปิดล็อคประตูเอาไว้ตามคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย ครั้นได้ยินเสียงล็อค มินรดาที่นั่งหมดอาลัยให้กับชีวิตตัวเองจึงตื่นจากภวังค์ รีบพาตัวเองไปที่ประตูเพื่อดันมันให้เปิดออกแต่ก็ไร้ผล “แมรี่ ทำไมต้องล็อคประตูด้วย คุณหนูของแมรี่อยู่ที่ไหน ฉันต้องไปพบเขา เขาสัญญาว่าจะช่วยฉัน แมรี่เปิดประตูให้ฉันที เปิดสิแมรี่” หลังจากที่ทุบประตูเรียกอยู่นานจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเปิดประตูให้ หญิงสาวจึงหมุนตัวกลับไปที่เตียง หยิบชุดเดรสแขนตุ๊กตายาวกรอมเท้าขึ้นมาสวม แล้วเดินไปหยิบไส้กรอกในจานขึ้นมาทานแก้หิวเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอเองก็ยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน “นี่มัน...” มือเรียวชะงักเพราะหันไปเห็นกล่องยาขนาดเล็กวางอยู่ข้าง ๆ พอลองหยิบมันขึ้นมาจึงรู้ว่าเป็นยาคุมฉุกเฉินที่เจ้าของบ้านคงจะให้แมรี่นำมาให้ นับว่ายังโชคดีที่เขายังอุตส่าห์ป้องกัน ไม่อย่างนั้นเธอคงคิดไม่ออกแน่ ๆ ถ้าต้องหิ้วท้องลูกฝรั่งผมทองกลับไปประเทศไทยขึ้นมาจริง ๆ คิดแล้วหญิงสาวจึงรีบแกะยาในกล่องขึ้นมากรอกเข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม เป็นจังหวะเดียวกันที่ดวงตากลมโตเหลือบเห็นรถสีดำของพวกมาเฟียค้ามนุษย์ที่จับเธอประมูลเป็นสินค้าเมื่อคืนผ่านหน้าต่างบานใหญ่พอดิบพอดี “แค่ก ๆ ๆ ” มินรดาสำลักน้ำจนหน้าดำหน้าแดง รีบถอยห่างจากหน้าต่างเพราะเกรงว่าพวกมันจะสังเกตเห็น “พวกมันต้องมาจับตัวฉันไปแน่ ๆ ” หญิงสาวเริ่มวิตกกังวลจนนั่งไม่ติด มือเรียวกระชากผ้าม่านมาปิดหน้าต่าง แล้วหยิบแจกันขนาดเขื่องขึ้นมาถือไว้เพื่อจะฟาดใส่ทันทีที่พวกมันเข้ามาในห้อง “เข้ามาเลย แม่ฟาดไม่ยั้งแน่” ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่บานประตู ในมือยังถือแจกันไว้แน่น แต่รอจนแขนเริ่มล้าก็ยังไม่มีท่าทีว่าประตูบานใหญ่จะถูกเปิดออก หญิงสาวจึงเริ่มถอดใจถือแจกันหมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิม แต่ยังไม่ทันจะขยับเท้าเสียงไขประตูก็ดังขึ้นจนร่างบางต้องเงื้อแจกันขึ้นเหนือหัวอีกครั้ง “อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันฟาดจริง ๆ แน่ ให้ฉันตายซะยังดีกว่ากลับไปซ่องนรกของพวกแก” “นี่เธอจะทำอะไร” เสียงผู้มาใหม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใจเย็นทำให้มือที่กำลังจะฟาดแจกันนั้นต้องหยุดชะงักลง เมื่อลืมตาขึ้นมองจึงรู้ว่าไม่ใช่พวกมาเฟียแต่เป็นเจสันที่กำลังหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นมาบนห้องพร้อมกับแมรี่ที่ถึงกับร้องลั่นออกมาทันทีที่เห็นแจกันในมือหญิงสาว “กรี๊ด ! นั่นเธอจะทำอะไร รู้หรือเปล่าว่าราคามันแพงแค่ไหน วางลงเดี๋ยวนี้ ! ” “โอ๊ะ ! ป้าแมรี่...ลุงเจสัน” มินรดาตาเบิกโพลงรีบโค้งกายขอโทษขอโพยทั้งคู่เป็นการใหญ่ก่อนจะรีบนำแจกันไปวางไว้ตรงที่เดิม “ขอโทษจริง ๆ ค่ะ หนูคิดว่าพวกมาเฟียมันจะมาจับตัวหนูกลับไป” “พวกมันคงไม่มายุ่งวุ่นวายกับเธอแล้วล่ะ” “คะ !? คุณลุงเจสันหมายความว่าไงคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความตกใจ ราวกับสิ่งที่คนสูงวัยพูดก่อนหน้านั้นเธอฟังผิดไปจนกระทั่งแมรี่เป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นเสียแทน “ก็หมายความว่ามีคนเขาจ่ายเงินเพื่อไถ่ตัวเธอมาแล้วล่ะสิ ฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องเสียเงินมากมายไปกับผู้หญิงคนนี้ด้วย” “ใครเหรอคะ คุณหนูของป้าหรือเปล่า” “ก็ใช่...” เสียงแมรี่เงียบหายไปเมื่อฝ่ามือใหญ่ของเจสันตีเบา ๆ ที่แขนเพื่อเตือนสติไม่ให้พูดออกมา “นี่เป็นสัมภาระของเธอที่พวกมันยึดไป ระหว่างนี้ก็พักผ่อนที่นี่ก่อนละกันนะ” “แล้วคุณหนูของลุงไปไหนล่ะคะ หนูอยากคุยกับเขา เขาอุตส่าห์ช่วยหนูไว้ หนูอยากขอบคุณ” มินรดาเอ่ยขึ้นในขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินออกจากห้องไป “คุณเขาออกไปธุระ ค่ำ ๆ โน่นแหละถึงจะกลับ อยู่ที่นี่อย่าสร้างความเดือนร้อนละกัน” ปัง ! เสียงประตูปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหญิงสาว มือเรียวเปิดกระเป๋าออกเพื่อมองหาหนังสือเดินทางและมือถือเพื่อหวังจะติดต่อใครที่ประเทศไทยได้บ้าง แต่พยายามค้นหายังไงก็หาไม่เจอจึงต้องตะโกนเรียกคนที่อยู่ข้างนอกอีกครั้ง “ป้าแม่รี่ ลุงเจสัน แล้วมือถือหนูล่ะอยู่ที่ไหน หนังสือเดินทางก็ไม่มี หนูต้องการมือถือ มีใครได้ยินหนูไหม เปิดประตูหน่อย” มินรดาพยายามจะเปิดประตูออกสลับกับทุบมันเสียงดังแต่ก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะถูกเปิดออก หญิงสาวจึงต้องกลับมานั่งตรวจดูสัมภาระดูใหม่อีกทีก่อนจะพบว่าทุกอย่างยังอยู่ครบทั้งเงินที่เก็บไว้และเสื้อผ้า ยกเว้นสมาร์ตโฟนกับหนังสือเดินทางเท่านั้น เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ช่วยเธอจริง ๆ ตามที่รับปากไว้ ส่วนเรื่องหาทางกลับประเทศค่อยหาทางขอร้องเขาทีหลังก็แล้วกัน "เสียงรถนี่" ร่างบางผละจากกระเป๋าเดินทางรีบปรี่ไปที่หน้าต่างทันทีที่ได้ยินเสียงรถดังขึ้นจากหน้าคฤหาสน์ “พวกมันกลับไปแล้ว” เสียงใสพึมพำออกมาด้วยความดีใจที่เห็นรถของมาเฟียค้ามนุษย์ถูกขับออกไปก่อนที่ร่างสูงโปร่งของใครบางคนจะเดินออกมาจากบ้าน คิ้วคู่งามขมวดเข้าหากันเป็นปมเพื่อจ้องมองร่างนั้นอย่างเพ่งพิจารณา ถ้าจะให้เดาจากส่วนสูงและหุ่นที่เธอเห็นจากที่ไกล ๆ เขาคงเป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ซึ่งเป็นคนที่ช่วยเธอจากพวกมาเฟียแล้วก็ยังเป็นเจ้าของรอยแดงบนเรือนร่างของเธอสินะ “มองไม่ถนัดเลย” มือเรียวพยายามเปิดประตูระเบียงหลังเพื่อออกไปมองเจ้าของร่างสูงโปร่งนั้นให้ชัดเจน แต่พยายามเปิดแค่ไหนก็ไร้ผล ซึ่งถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นแมรี่ที่เข้ามาล็อคเอาไว้เพราะกลัวหญิงสาวจะคิดสั้นเหมือนเมื่อคืนเธอจึงทำได้แค่จ้องมองชายหนุ่มผ่านหน้าต่างกระจกจากที่ไกล ๆ เท่านั้น “บ้าที่สุด เสียตัวให้คนแปลกหน้าที่ยังไม่ได้เห็นหน้า นี่มันบ้าสุด ๆ ไปเลย” มินรดาทอดถอนหายใจเสียยาวเหยียดจ้องมองร่างสูงโปร่งที่กำลังขึ้นไปนั่งในรถก่อนที่มันจะถูกขับออกไปผ่านถนนเล็ก ๆ มีทุ่งหญ้าและต้นไม้ที่เขียวขจีขึ้นเต็มตลอดสองข้างทาง ไม่รู้เลยว่านับจากนี้ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าต้องทำให้เขาพอใจแค่ไหนเขาจึงจะยอมปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระสักที
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD