“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ นายท่านบอกว่าวันนี้จะพาคุณหนูไปเดินเล่นในเมืองเจ้าค่ะ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์กำลังปลุกคุณหนูของนาง
“เสียงใครน่ะ ซินซินกำลังปลุกเราเหรอ” หลิวลี่เซียงพึมพา
“คุณหนู สายแล้วเจ้าค่ะ ปกติคุณหนูตื่นเช้าตลอด คุณหนูไม่สบายหรือเปล่าเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ว้าวุ่นใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงจากอีกฝ่าย
“ตื่นแล้ว” เสียงหลิวลี่เซียงตอบกลับสั้น ๆ เพราะกำลังงัวเงีย
“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมน้ำอาบและเสื้อผ้าให้นะเจ้าคะ”
คุณหนู เตรียมน้ำอาบ เสื้อผ้า โตขนาดนี้แล้วทำเองได้หมดน่า เธอคิดในใจ ถ้าไม่ฝันอยู่ก็โดนซินซินแกล้งแล้วล่ะ แต่เมื่อลืมตาดูดี ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องแบบโบราณ กำลังนอนบนฟูกหนา ผมยาวสลวยดำขลับแถมชุดนอนดูแปลกไป เธอคิดว่าคงกำลังฝันอยู่
“คุณหนู ทุกอย่างพร้อมแล้ว อาบน้ำเลยไหมเจ้าคะ”
หลิวลี่เซียงนึกฉงนในใจ ลุกขึ้นเดินออกมาตามเสียง เธอเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ดวงตากลมโต ใส่ชุดโบราณ กำลังหอบผ้าผืนใหญ่อยู่ ใบหน้านั้นจ้องมองมาหาเธอด้วยความสดใส เมื่อมองภาพเบื้องหน้าให้กว้างขึ้น เธอจึงสังเกตเห็นผู้คนมากมาย บ้างกวาดพื้นอยู่ บ้างตัดต้นไม้อยู่ ผู้หญิงหลายคนเดินถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักและผลไม้ ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่เปิดออก
“คุณหนู สายแล้ว ต้องรีบอาบน้ำให้เสร็จเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ นายท่านกำลังรอคุณหนูอยู่ที่ศาลาริมน้ำเจ้าค่ะ” หญิงวัยกลางคนเดินกุลีกุจอเข้ามาหาเธอ
“ใครนะ เดี๋ยวก่อน ๆ” หลิวลี่เซียงคิดว่าถึงจะเป็นความฝัน แต่เรื่องราวที่จับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เธอรีบยื่นมือออกไปห้ามทุกคน
“เอ๊ะ! มือใคร ทำไมเล็กจัง แล้วทำไมเสียงเราเป็นแบบนี้” เธอตกใจที่มองเห็นมือเล็ก ๆ จึงลองกำ ๆ แบ ๆ มือทั้งสองข้างหลายรอบทดสอบดูว่าใช่มือตัวเองหรือเปล่า แล้วรีบวิ่งเข้าห้อง
เธอเหลือบเห็นกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ภาพที่สะท้อนจากกระจกคือเด็กหญิงอายุราวเจ็ดแปดขวบ เธอจึงเดินถอยหน้าถอยหลังอีกรอบ ลองจับหน้าตัวเองแล้วลองหยิกแขนดู
“โอ๊ย!” ดูเหมือนความฝันแต่ทำไมเจ็บจริงแบบนี้ ตื่นสิ หลิวลี่เซียง ตื่นได้แล้ว แต่ไม่ทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงของหญิงวัยกลางคนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณหนู ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ”
“อื้อ เหมือนจะไม่สบาย วันนี้ขอนอนพักสักวันนะ”
“เสี่ยวจิ่ว แม่จะไปหานายท่าน เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูนะ”
หลิวลี่เซียงคิดหนักว่าสถานการณ์ตรงหน้าคืออะไร เพราะเมื่อวานเธอยังนั่งดูพระจันทร์ริมหน้าต่างห้องอยู่เลย
แต่ว่าทำไมเด็กคนนี้หน้าคุ้น ๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ป้าคนนั้น แล้วก็คนในกระจกนี่ หลิวลี่เซียงจ้องมองไปที่บานกระจกอีกครั้งเพื่อพยายามนึกว่าเคยเห็นทุกคนจากที่ไหน พลันความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว
“จิ่วเอ๋อร์” เธอส่งเสียงเรียกเบา ๆ
“เจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว
นั่นไง ใช่จริง ๆ ด้วย ยังไม่ทันที่เธอจะได้คิดอะไรต่อ เสียงทุ้มของชายผู้หนึ่งดังมาจากทางประตู
“เหลียนฮวา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่สบายหรือ” เขาถามพลางเดินมาใกล้ ๆ ด้วยความเป็นห่วง
ชัดเลยทีนี้ นี่ฉันเข้ามาอยู่ในความฝันตัวเองเหรอนี่ เหลียนฮวา หรือ หลี่เหลียนฮวา ลูกสาวคนเดียวของเสนาบดีฝ่ายซ้าย หลี่ไท่ เมื่อพอจะเดาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้แล้ว เธอก็สวมบทเป็นเด็กอายุเจ็ดขวบตามน้ำไป
“ข้ารู้สึกไม่สบายนิดหน่อย ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” เธอตอบกลับ
“อากาศวันนี้หนาวเย็นยิ่งนัก เช่นนั้น เจ้าพักอยู่ที่เรือนเถิด อาการดีขึ้นแล้ว วันหลังพ่อจะพาเจ้าเที่ยวเล่นในเมือง” เขาบอกนางก่อนเดินไปพร้อมกำชับทุกคนให้คอยอยู่ดูแลนาง
เยี่ยมเลย ค่อยยังชั่ว ได้อยู่คนเดียวสักหน่อย พอให้มีเวลาปะติดปะต่อเรื่อง
“จิ่วเอ๋อร์ ขอกระดาษกับพู่กันที” หลิวลี่เซียงเขียนชื่อคนที่จำได้คร่าว ๆ ลงไปในกระดาษ เราคือหลี่เหลียนฮวา เด็กคนนั้นคือจิ่วเอ๋อร์ อายุน้อยกว่าหนึ่งปี ป้าคนนั้นคือแม่บ้านจาง ที่นี่จวนสกุลหลี่ ท่านพ่อหลี่ไท่
“คุณหนูเขียนอันใดหรือเจ้าคะ” จิ่วเอ๋อร์มองกระดาษด้วยความสงสัย
ตายละ ลืมไปว่าอายุเท่านี้เพิ่งจะหัดเขียนตัวอักษร
“ข้าแค่นึกอยากขีด ๆ เล่น จิ่วเอ๋อร์ เจ้ามีอันใดก็ไปทำเถอะ ข้าจะนอนพักแล้ว”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” จิ่วเอ๋อร์รับคำแล้วค่อย ๆ เดินออกไป
เมื่ออยู่คนเดียวหลิวลี่เซียงก็เริ่มเขียนเรื่องราวความฝันที่พอจะนึกออกก่อนเก็บไว้ในลิ้นชักพลางคิดในใจว่านอนหลับไปแล้วพรุ่งนี้คงได้ตื่นจากฝัน
สองวันต่อมา
“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ ” เสียงเล็ก ๆ ของจิ่วเอ๋อร์ถามไถ่ พลันทำให้คนที่อยู่ด้านในลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย
ตื่นมาก็ยังคงอยู่ในฝันสินะ เฮ้อ
หลังจากเปลี่ยนชุด ทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว หลี่ไท่จึงพาหลี่เหลียนฮวาไปเดินเล่นในเมือง พร้อมกับจิ่วเอ๋อร์ อาเฉินและแม่บ้านจาง
เมื่อก้าวพ้นประตูไม้บานใหญ่ ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยลานหิมะขาวโพลนปกคลุมถนนหนทาง แสงแดดอุ่น ๆ สะท้อนระยิบระยับ เกล็ดหิมะโปรยปรายเป็นละอองเล็ก ๆ ท้องฟ้าสีครามประดับลายด้วยเมฆสีขาวที่ล่องลอยไปตามสายลม
สวยงามมม สุดยอดดด หลี่เหลียนฮวาคิดในใจเมื่อได้เห็นภาพทิวทัศน์ที่แปลกตาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากเดินมาเรื่อย ๆ ก็พบร้านค้าต่าง ๆ มากมายราวกับอยู่ในฉากหนังยุคโบราณ นางเดินไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความตื่นเต้น
“นายท่าน วันนี้ร้านเสื้อผ้านัดไปรับของแล้ว ข้าขอตัวสักครู่นะเจ้าคะ” แม่บ้านจางเอ่ยขึ้นก่อนรีบเดินไปอีกทางพร้อมอาเฉิน ลูกชายของนาง
“เหลียนฮวา ที่ติดผมลายดอกบัวช่างเหมาะกับเจ้า ชอบหรือไม่” หลี่ไท่ถามนาง
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” นางตอบกลับพลางยิ้มด้วยความสดใส หลังจากซื้อที่ติดผมเรียบร้อยแล้ว นางชวนเขาเดินมาที่ร้านขายถังหูลู่
“ท่านพ่อ ขอสี่ไม้ได้ไหมเจ้าคะ” หลี่เหลียนฮวาอ้อนเขาเพราะกำลังหิวหลังจากเดินเล่นมาเกือบชั่วยาม ซึ่งท่านพ่อของนางก็มักจะตามใจบุตรสาวผู้นี้อยู่เป็นนิจ
“จิ่วเอ๋อร์ ข้าให้เจ้า” นางยื่นถังหูลู่ไม้หนึ่งให้จิ่วเอ๋อร์
เมื่อได้ของกินอร่อย เขาก็พานางเดินมาทางสวนดอกไม้เพื่อนั่งเล่นต่ออีกสักพักก่อนกลับบ้าน
ด้านหน้าสวนดอกไม้มีทะเลสาบที่เวลานี้กลายเป็นน้ำแข็ง ศาลาริมน้ำทางด้านซ้ายมีเด็กชายผู้หนึ่งนั่งตัวสั่นเทา เหม่อมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
หลี่เหลียนฮวาจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ พินิจมองเขาอย่างถ้วนถี่ เด็กผู้นี้เหมือนหลุดจากภวังค์ หันมามองนางกับถังหูลู่ในมือ แววตาใสซื่อและหน้าตามอมแมมทำให้นางรู้สึกสงสารจึงยื่นถังหูลู่ให้เขาหนึ่งไม้ ก่อนขอผ้าคลุมกันหนาวหนึ่งตัวมาห่มให้เขา
“ใส่ไว้นะจะได้ไม่หนาว แล้วก็กินให้อร่อย ถ้าเจ้าหิวก็มาที่จวนสกุลหลี่” หลี่เหลียนฮวากล่าวกับเขาอย่างอ่อนโยน ทำให้คนเป็นพ่ออย่าง หลี่ไท่มองบุตรสาวด้วยความเอ็นดูและแปลกใจกับนิสัยที่เปลี่ยนไปของนาง
แม้นางจะเป็นเด็ก แต่บัดนี้นางมักจะทำอะไรเหมือนผู้ใหญ่เกินวัย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี เขาให้เงินเด็กชายผู้นี้หนึ่งถุงไว้ใช้จ่าย
หลังจากนั้นทุกคนเดินกลับบ้าน โดยมีสายตาของเด็กผู้นั้นมองตามอย่างไม่วางตา
เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลี่เหลียนฮวา แต่ฐานะความเป็นอยู่ของเขากับนางช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ความยากจน อดอยากหิวโหย สลัดตัวหนีอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ ทั้งยังเป็นเด็กกำพร้าบิดามารดาต้องอยู่ตัวคนเดียวช่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ตั้งแต่เช้ามายังไม่ได้กินข้าวสักชาม ทั้งอากาศในวันนี้หนาวเหน็บจนเนื้อตัวแทบด้านชาไร้เรี่ยวแรง แต่เมื่อได้พบนางก็ราวกับเหมือนแสงหนึ่งส่องสว่างมาที่ใจของเขา ผ้าคลุมกันหนาวตัวนี้อบอุ่นยิ่งนัก
เมื่อหลี่เหลียนฮวากลับมาถึงบ้านแล้ว อดนึกถึงเด็กคนนั้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่เงินถุงนั้นน่าจะพออยู่ไปได้สักเดือน ไม่น่ามีปัญหาอะไร
หลังจากใช้ชีวิตเป็นหลี่เหลียนฮวามาได้สองอาทิตย์ นางก็เริ่มปรับตัวเข้ากับคนที่นี่ได้ ไม่มีทางรู้เลยว่าความฝันนี้จะจบลงเมื่อไร
วันเวลาผ่านพ้นไปแต่ละวัน ทำให้นางแทบจะลืมว่ากำลังหลงใหลอยู่ในความฝัน ชีวิตวัยเด็กของหลี่เหลียนฮวาทำให้นางดูสนุกไม่น้อย เพราะโลกความจริงตอนนี้นางต้องรีบปั่นการบ้านหลายวิชา
เรื่องของหลี่เหลียนฮวา ที่ฝันตอนนั้นมีอะไรอีกนะ นอกจากเกิดมาเป็นลูกขุนนางชั้นสูงแล้ว ชีวิตก็เรียบง่าย สุขสบายดี แต่ทำไมรู้สึกว่าเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่าง นางคิดในใจพลางนึกเรื่องราวทั้งหมดแต่ก็นึกไม่ออก
“จิ่วเอ๋อร์ ไปเที่ยวในเมืองกันเถอะ ข้าอยากกินซาลาเปา” นางหันไปชวนจิ่วเอ๋อร์ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ
“คุณหนู แต่วันนี้นายท่านเข้าวัง”
“แม่บ้านจางล่ะ ไปกับนางก็ได้ อาเฉินก็ด้วย”
“เจ้าค่ะ คุณหนูรอตรงนี้ก่อน”
บรรยากาศร้านค้าในเมืองเต็มไปด้วยความครึกครื้น ชาวบ้านเดินกันขวักไขว่อย่างเช่นเคย หลี่เหลียนฮวาเดินตรงดิ่งไปที่ร้านซาลาเปาตรงหัวมุมถนน กลิ่นหอมของซาลาเปาลอยไปทั่วทั้งซอย
“ซาลาเปาสิบลูก หมั่นโถวอีกสิบ”หลี่เหลียนฮวาพูดด้วยความมุ่งมั่น แล้วยื่นเงินจ่ายพ่อค้า จากนั้นแจกให้กับจิ่วเอ๋อร์ และอาเฉินคนละสองลูก
“คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ” จิ่วเอ๋อร์ร้องบอกหลี่เหลียนฮวาเมื่อเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล ด้านหลังมีกลุ่มเด็กผู้ชายตัวใหญ่กว่าเขาไล่ตามมาติด ๆ แม้ทั้งสองมือของหลี่เหลียนฮวาจะถือซาลาเปาไว้นางก็สามารถเอี้ยวตัวหลบเด็กชายคนแรกไปได้ แต่ทว่าขาทั้งสองข้างเหมือนทรงตัวไม่อยู่ เมื่อแรงของกลุ่มเด็กที่วิ่งตามหลังมาเฉี่ยวมือข้างหนึ่ง ก็เพียงพอที่ร่างกายของนางจะโอนเอนแล้วล้มลง ซาลาเปาสองลูกที่อยู่ในมือตกพื้นกลิ้งหลุน ๆ ทำให้แม่บ้านจางและทุกคนร้องเสียงหลง
ไม่นะ ซาลาเปาของข้า เจ้าเด็กพวกนี้ หลี่เหลียนฮวารู้สึกเสียดายที่ทำซาลาเปาหลุดมือทั้ง ๆ ที่นางกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณหนู เป็นอันใดไหมเจ้าคะ” แม่บ้านจางรีบเข้ามาพยุง ปัดฝุ่นตามเนื้อตามตัวและตรวจดูร่างกายของนาง
“ซาลาเปาของข้า” หลี่เหลียนฮวายกมือบอกไม่เป็นอะไร แล้วชี้นิ้วไปที่ซาลาเปาบนพื้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คุณหนู ในตะกร้ายังมีอีกเยอะเจ้าค่ะ”
“แต่ว่าเด็กคนแรกนั้นหน้าคุ้น ๆ รีบตามไปดูหน่อยอาเฉิน” หลี่เหลียนฮวาสั่งเขาแล้วรีบวิ่งตามไปพร้อมจิ่วเอ๋อร์ ทิ้งให้แม่บ้านจางยืนมึนงงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวิ่งตามมา
เมื่อไล่ตามมาสักพักก็เห็นเด็กตัวใหญ่กลุ่มนี้กำลังยื้อแย่งของจากเด็กตัวเล็ก คนหนึ่งคว้าแขนข้างซ้าย คนหนึ่งเกาะขาขวาไว้ ส่วนอีกคนพยายามแกะมือของเขาออก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าเด็กยักษ์ หยุด!” หลี่เหลียนฮวาตะโกนสุดเสียงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า นางรีบวิ่งไปดึงแขนคนที่ตัวโตสุดออกมา
ฮึบ! ทำไมดึงไม่ออก ฮึบ! ทำไมไม่มีแรงขนาดนี้ นางคิดในใจลืมไปว่าตัวนางเองก็เป็นแค่เพียงเด็กผู้หญิงเจ็ดขวบ ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง
“คุณหนู ๆ ” อาเฉินและจิ่วเอ๋อร์ที่วิ่งตามมาได้แต่ร้องเรียกทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นคุณหนูของพวกเขารีบวิ่งเข้าไป
“อาเฉิน ช่วยเด็กคนนี้ที จิ่วเอ๋อร์ รออยู่ตรงนั้น” นางบอกจิ่วเอ๋อร์เช่นนั้นเพราะไม่อยากให้เข้ามา นางยังเด็กเกินไป แต่จิ่วเอ๋อร์ไม่ฟังคำ วิ่งเข้ามาเกาะแขนเจ้าเด็กยักษ์อีกข้าง
อาเฉินจับเจ้าเด็กยักษ์คนหนึ่งเหวี่ยงไปข้าง ๆ แล้วจับอีกคนที่กำลังดึงผมหลี่เหลียนฮวาอยู่แล้วทุ่มไปข้างหน้า
ต่างฝ่ายต่างชุลมุนตะลุมบอนกันได้สักพัก เมื่อกลุ่มเด็กยักษ์เห็นว่าจวนเจียนจะแพ้สู้ไม่ได้ก็ต่างพากันหนีไป
สภาพของทั้งเด็กชายผู้นี้ แม้จะดูมอมแมมซอมซ่อ แต่เมื่อเพ่งมองดี ๆ แล้ว เขาคือเด็กที่หลี่เหลียนฮวาเจอเมื่อครั้งก่อน นางพยุงตัวเขามานั่งอยู่ข้าง ๆ ต้นไม้ใหญ่ ถามว่าเขาเจ็บปวดตรงไหน มีบาดแผลอะไรหรือไม่ตามความเคยชิน
“ข้าเจ็บเล็กน้อย ทนได้” เขาตอบกลับมา
“เกิดเรื่องอันใด ทำไมคนพวกนั้นทำเจ้าเช่นนี้” นางถามด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่รู้ พวกนั้นทำแบบนี้ตลอด” เขาตอบกลับอย่างใส่ซื่อ
“เฮ้อ เจ้าต้องรู้จักปกป้องตัวเองบ้างนะ มิเช่นนั้น เจ้าพวกนั้นจะมารังแกเจ้าอยู่เรื่อยไป” หลี่เหลียนฮวารู้สึกสงสารเขาจับใจ
“ตายแล้วคุณหนู” เสียงแม่บ้านจางอุทานด้วยความตกใจเมื่อวิ่งตามคุณหนูทัน
เอ่อ สภาพตอนนี้ จากคุณหนูกลายเป็นอะไรไปแล้วนี่ ทั้งหน้าตามอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน แม่บ้านจางต้องตกใจมากแน่ หลี่เหลียนฮวาคิดในใจก่อนรีบบอกให้นางหายกังวลใจ
“แม่บ้านจาง เจ้าช่วยพาเด็กคนนี้ไปทำแผลที่บ้านได้หรือไม่”
“แต่คุณหนู...”
“เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง กลับจวนกันก่อนเถอะ” นางทำเสียงอ้อนก่อนหันไปบอกเด็กผู้นั้น
“กลับจวนกับข้า ไปทายา จะได้หายเจ็บ”
เขาพยักหน้าตอบกลับแทนคำพูด แล้วเดินตามนางกลับจวน
“แม่บ้านจาง เรื่องนี้ห้ามให้ท่านพ่อรู้นะ เห็นไหม ข้าไม่เป็นอะไรเลย”
“แต่คุณหนู อย่างไรก็ต้องแจ้งนายท่านนะเจ้าคะ”
“ไม่ได้ ท่านพ่อจะต้องดุพวกเขาแล้วก็เป็นห่วงข้ามากแน่ ๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ” หลี่เหลียนฮวาพยายามหว่านล้อมแม่บ้านสุดกำลังเพื่อไม่ให้เรื่องถึงหูใต้เท้าหลี่
“เจ้าค่ะ คุณหนู” นางตอบรับแล้วหันไปหาอาเฉินกับเสี่ยวจิ่ว สองพี่น้องผู้เป็นลูกของนางและเด็กผู้นั้นที่มีสภาพไม่ต่างกัน ก่อนจะทายาให้ทั้งสามพลางดุไปด้วย
หลี่เหลียนฮวามองดูเขา จู่ ๆ นึกได้ว่าเหมือนเคยเห็นเขามาก่อน หน้าตาท่าทางคลับคล้ายคลับคลา นางจึงเอ่ยปากถามชื่อแซ่เขา
“เจ้าชื่ออะไร บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด”
“ท่านยายเรียกข้าว่าเสี่ยวหาน ท่านยายไม่อยู่แล้ว ข้าอยู่บ้านคนเดียว หลังหมู่บ้านทางโน้น”
“ทำแผลเสร็จแล้ว เจ้ากลับบ้านดี ๆ ถ้าเจอเจ้าพวกนั้นกลับมาที่นี่นะ นี่ขนม ข้าว พอให้เจ้าอิ่มไปหลายมื้อ หากเจ้าหิวมาที่นี่นะ” นางพูดพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ให้คนไปส่งเขาได้หรือไม่ แม่บ้านจาง”
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
หลังจากเสี่ยวหานกลับไปหลี่เหลียนฮวาหันมาพูดกับคนนั่งข้าง ๆ
“อาเฉินวันนี้เจ้าทำได้ดีมาก ส่วนจิ่วเอ๋อร์ ห้ามทำแบบนี้อีกนะ ข้าไม่อยากให้เจ้าเจ็บตัว” หลี่เหลียนฮวาพูดกับทั้งสองเหมือนเป็นผู้ใหญ่ สร้างความฉงนใจให้กับแม่บ้านจางอีกครา
“ทานข้าวเย็นกันเถอะ ข้าหิวแล้ว” นางรีบพูด
หลังจากทานข้าวเรียบร้อยแล้ว นางก็ตรงดิ่งเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำ เพราะรู้สึกเมื่อยเนื้อตัวจากเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อกลางวัน
หลี่เหลียนฮวาเงยหน้ามองดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาราระยิบระยับประดับฟ้า ไม่มีแสงไฟจากที่ใดรบกวน
นางนึกถึงเสี่ยวหานและเรื่องราวที่ได้เจอในวันนี้
เสี่ยวหาน เสี่ยวหานเหรอ หน้าตาแบบนี้ เหตุการณ์แบบนี้ เสี่ยวหาน เจ้าใช่คนเดียวกับเด็กคนนั้นหรือไม่นะ ใช่หรือไม่แล้วอย่างไร ครั้งนี้ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ หลี่เหลียนฮวาเอ๋ย หลี่เหลียนฮวา เห็นทีการได้ฝันเรื่องนี้อีกครั้งจะสามารถช่วยเสี่ยวหานได้ เรื่องราวครานี้จะต้องเปลี่ยนไป ข้าต้องช่วยเจ้าให้ได้ เสี่ยวหาน
หลังจากคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างมุ่งมั่น หลี่เหลียนฮวาก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป