หลังจากกลับมาถึงจวนสกุลหลี่ แม่บ้านจางรีบนำยามาทาแผลให้เสี่ยวหาน และให้อาเฉินจัดห้องเตรียมเสื้อผ้าและที่นอนให้เขา เสี่ยวหานสามารถมาเที่ยวเล่น ทานข้าวและทำงานอยู่ในจวนนี้ได้ตามใจเขาเพราะใต้เท้าหลี่เห็นอุปนิสัยใจคอแล้วเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ แต่เสี่ยวหานรู้สึกเกรงใจ จึงมาที่จวนแห่งนี้เป็นครั้งคราว และทุกครั้งที่มาเขามักจะมีไข่ไก่ ของป่าติดมือมาฝากทุกคนเสมอ
“เสี่ยวหาน ทำไมเจอเจ้าเมื่อใดก็มักเห็นสภาพเจ้าเป็นแบบนี้ทุกที ข้าหัวใจจะวายให้ได้เลย” แม่บ้านจางบ่นด้วยความเป็นห่วง
“ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านป้าเป็นห่วง ต่อไปข้าจะตั้งใจดูแลตัวเอง”
“อย่าให้ข้าเจอเจ้าพวกนั้นอีกนะ ไม่งั้นข้าจะสอยให้ร่วงเลย” อาเฉินกล่าว
“เจ้าก็ด้วย ข้าบอกไม่ให้ใช้กำลังแก้ปัญหา” นางหันไปเอ็ดเขา
“เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้ ข้าจะขอให้ท่านพ่อสอนเรื่องการต่อสู้ ไว้ให้พวกเจ้าเอาไว้ปกป้องตนเอง” หลี่เหลี่ยนฮวาพูดขึ้นมาอย่างมุ่งมั่น
นอกจากเรื่องที่เสี่ยวหานจะถูกรังแกอยู่บ่อยครั้งแล้ว นางอยากให้เสี่ยวหานปกป้องตัวเองได้ บางทีอาจจะช่วยให้เรื่องราวในอนาคตของเขาเปลี่ยนไป
ยามพลบค่ำหลังจากทานข้าวเย็นเรียบร้อย หลี่เหลียนฮวาไม่รอช้ารีบพูดคุยกับใต้เท้าหลี่ ผลลัพธ์ย่อมเป็นไปตามที่นางคาดหวัง เพราะเขาตามใจนางเหมือนทุก ๆ เรื่องก่อนหน้านี้ แม้จะแปลกใจในความคิดของบุตรสาว แต่เรื่องราวประหลาดหลายเดือนที่ผ่านมาก็ทำให้เขาชินแล้ว
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาเสี่ยวหานและอาเฉินก็ได้ร่ำเรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ จากอาจารย์พิเศษที่ใต้เท้าหลี่จัดหามาให้ หลังจากเลิกเรียนแล้วเขามักจะช่วยเหลืองานต่าง ๆ ภายในจวนอย่างไม่รีรอและตั้งใจ เพื่อเป็นการตอบแทนความกรุณาของใต้เท้าหลี่และทุก ๆ คน
“ดีจริง ๆ ต่อไปนี้ข้าคงไม่ต้องกังวลเวลาที่เจ้าอยู่คนเดียวอีกแล้วล่ะ” หลี่เหลียนฮวาคิดในใจ พลางมองเขาจากไกล ๆ
“ทำไมข้าไปเรียนกับพวกเขาไม่ได้นะ” นางบ่นเบา ๆ แต่แม่บ้านจางได้ยิน
“คุณหนู กุลสตรีต้องเรียนอีกอย่างนะเจ้าคะ จะไปต่อยตีกับผู้อื่นเห็นจะไม่เหมาะ” นางปรามคุณหนูผู้ห้าวหาญ
ถึงในโลกความจริงจะพอได้เรียนการป้องกันตัวมาบ้างตอนปีหนึ่ง แต่พอมาอยู่ร่างหลี่เหลียนฮวาแล้วรู้สึกพละกำลังหายไป เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงเสียอย่างนั้น จะทำอันใดได้ร่างเด็กน้อยก็เป็นเช่นนี้ เมื่อใช้กำลังต่อสู้ตรง ๆ ไม่ได้ นางจึงเปลี่ยนมาใช้สมองแทนเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ
------------------------------------------------------------------------------
“จิ่วเอ๋อร์ ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กันเถอะ วันนี้แม่บ้านจางเตรียมขนมมากมายไว้ให้พวกเรากินเล่นด้วย เดี๋ยวรอเสี่ยวหานกับอาเฉินเรียนเสร็จแล้วเราออกไปพร้อมกัน” หลี่เหลียนฮวาชวนทุกคนไปเที่ยวที่สวนดอกไม้เป็นประจำ เพราะอากาศตรงนั้นเย็นสบาย มีลมพัดไอน้ำจากสระเข้ามาทางศาลาพักผ่อนตลอดเวลา ยามทอดสายตามองออกไปยังผืนน้ำและขอบฟ้าทำให้จิตใจได้ผ่อนคลาย
“อาเฉิน เสี่ยวหาน พวกเจ้าดูแลคุณหนูกับเสี่ยวจิ่วดี ๆ นะ” แม่บ้านจางกำชับก่อนจะส่งตะกร้าขนมให้ให้อาเฉินกับเสี่ยวหาน
“ขอรับ” ทั้งสองรับคำ
ทำไมวันนี้รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องอะไร หลี่เหลียนฮวาเหมือนมีลางสังหรณ์
ระหว่างทางเดินไปที่สวนดอกไม้ พวกเขากำลังจะเดินสวนกับเด็กโตกว่าห้าคนอีกกลุ่มหนึ่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่และพู่สีครามที่ห้อยตรงเอวให้ความรู้สึกราวกับเป็นบุตรของขุนนางสกุลผู้ดี หากไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น หลี่เหลียนฮวาคงจะได้วิ่งเล่นและทานขนมอย่างเอร็ดอร่อยที่ศาลายามบ่ายไปแล้ว ทว่านางทำขนมชิ้นหนึ่งหลุดมือ เจ้าก้อนกลม ๆ นั้นกลิ้งหลุน ๆ ไปยังเด็กกลุ่มนั้น คนข้างหน้าที่มัวแต่เดินไปคุยไปไม่ทันได้มอง จึงเหยียบขนมชิ้นนั้นแล้วลื่นหงายไปข้างหลัง
“พวกเจ้าแกล้งข้าหรือ” เขาโพล่งออกมาด้วยความโกรธ
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าเจ็บมากหรือไม่” หลี่เหลียนฮวารู้สึกผิดจึงรีบขอโทษและข้าไปพยุงเขาลุกขึ้น
กระนั้น เขากลับรู้สึกไม่พอใจเมื่อนางไปแตะตัวเขา จึงผลักนางออกไป ด้วยพละกำลังที่มากกว่า หลี่เหลียนฮวาล้มไปอีกทาง นางใช้มือบังหน้าตนเองไว้จึงมีแผลจากก้อนหินบาด
เสี่ยวหานรีบมาพยุงนางลุกขึ้น ก่อนตรวจดูว่านางเจ็บที่ใดอีกหรือเปล่า ส่วนอาเฉิน เมื่อเห็นคนทำร้ายคุณหนูย่อมไม่เก็บอาการไม่อยู่ เขาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ
“พวกเจ้า ทำไมยังไม่ขอโทษข้าอีก ทำข้าเจ็บตัวแล้วยังทำเสื้อผ้าของข้าเปื้อนดินไปหมดแล้ว”
“คุณหนูขอโทษเจ้าแล้ว แต่เจ้าผลักคุณหนู” จิ่วเอ๋อร์ตอบกลับพลางทำเสียงสะอื้น น้ำตาคลอ เพราะเห็นคนทำร้ายหลี่เหลียนฮวา
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าคนผู้นี้เป็นใคร ร่างกายของเขามีค่ายิ่งนัก หากเป็นอะไรไป แค่คำขอโทษของพวกเจ้าคงไม่พอหรอก” หนึ่งในนั้นตอบกลับมาด้วยความโอ้อวด หยิ่งยโส
“ข้ารู้ ๆ พวกเจ้าต้องเป็นบุตรขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินแน่ ๆ เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง ข้าขอโทษจริง ๆ เสื้อผ้านี้ข้าจะชดใช้ให้ เจ้าบอกข้ามาเถิดว่าเป็นบุตรของผู้ใด” หลี่เหลียนฮวาพยายามแก้สถานการณ์มาคุ
“นี่เจ้าไม่รู้จักเขาได้อย่างไร เขาเป็นถึงบุตรชายคนโตของสกุลเหยาเลยนะ เห็นทีเจ้าคงเป็นแค่บุตรสาวชาวบ้านทั่วไปกระมัง” หนึ่งในนั้นตอบเกทับ
ข้าขอมาเที่ยวเล่นในเมืองตามประสาเด็กน้อย ทำไมถึงมีเรื่องทุกครั้งที่ออกมานอกจวนขนาดนี้นะ หลี่เหลียนฮวาได้แต่คิดในใจพลางเอ่ยขอโทษเขาอีกครั้ง
“ข้าขอโทษจริง ๆ ที่ไม่รู้จักพวกเจ้า ข้าไม่ค่อยได้ออกมานอกบ้านเท่าใด” นางพูดตามตรงหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจ ไหนเลยเหตุการณ์จะบานปลาย
“ข้าไม่รับคำขอโทษ” เขาตอบ
เสี่ยวหานที่อดทนหักห้ามใจและคอยดึงอาเฉินอยู่เดินก้าวออกมายืนข้างหน้าหลี่เหลียนฮวา
“คุณหนูข้าขอโทษเจ้าแล้ว และเจ้าก็ทำให้นางบาดเจ็บเช่นกัน เจ้าควรรับคำขอโทษของนาง”
เด็กสกุลเหยาไม่พอใจที่ลูกชาวบ้านเช่นเขาพูดแบบนี้ เขาจึงผลักเสี่ยวหานล้มไปที่พื้น แต่ไหนแต่ไรมาคนเอาแต่ใจแบบเขาไม่มีใครกล้าขัดใจ ต่อให้ความผิดเขาจะมากมายแค่ไหนก็ไม่มีผู้ใดกล้าติเตียน
“เจ้า คนนิสัยไม่ดี” หลี่เหลียนฮวาโพล่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว กำมือข้างหนึ่งเขกหน้าผากเขาไปหนึ่งครั้ง
แม้จำนวนคนฝั่งหลี่เหลียนฮวาจะมีน้อยกว่าแต่ก็พอจะสู้กับอีกฝ่ายได้สูสี เสี่ยวหานและอาเฉินรับมือกับฝ่ายนั้นสี่คน ส่วนหลี่เหลียนฮวาและจิ่วเอ๋อร์กำลังยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังกับนายน้อยสกุลเหยา
“ปล่อยจิ่วเอ๋อร์เดี๋ยวนี้นะ” หลี่เหลียนฮวาตะโกนใส่หูเขา ก่อนนางจะกระโดดดึงผมเกล้าของอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่า
เส้นทางมาสวนดอกไม้แห่งนี้ ไม่ค่อยมีผู้ใดผ่านไปผ่านมานัก เนื่องจากเป็นทางผ่านของเหล่าขุนนางชั้นสูงเท่านั้น แต่ยามนี้เป็นเวลาราชการ ขุนนางต่าง ๆ จึงอยู่ในวัง
“พวกเจ้าหยุดได้แล้ว!” เสียงหนึ่งตะโกนก้อง
เสียงดังราวฟ้ากัมปนาถทำให้ทุกคนพร้อมใจกันหยุดนิ่งอยู่กับที่ มือข้างหนึ่งของหลี่เหลียนฮวาที่กำผมของนายน้อยสกุลเหยาอยู่รีบปล่อยอย่างรวดเร็ว
“องค์ชายสาม!” นายน้อยสกุลเหยาเสียงหลง
เย่ชิงหลงคือองค์ชายสามหรอกหรือ หลี่เหลียนฮวาคิดทบทวนเรื่องราว
“เย่ชิงหลง ท่านช่วยข้าด้วย” นางขอความช่วยเหลือจากเขา
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นถึงได้เป็นเช่นนี้” เย่ชิงหลงถามนางด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพผมเผ้าของนาง
หลี่เหลียนฮวาจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดแบบสรุปจบให้เขาฟัง ก่อนที่เขาจะหันไปทางนายน้อยสกุลเหยา
“พวกเจ้าเป็นถึงบุตรขุนนางชั้นสูงของแผ่นดินนี้ใยถึงประพฤติตนเช่นนี้”
“พวกนั้นทำข้าก่อนแล้วเจ้านั่นยังมาว่าข้าอีก”
“เจ้าคิดทบทวนให้ดีเถิด นางบอกว่าขอโทษเจ้าไปแล้ว แต่ใยเจ้าติดใจเอาความ”
ไม่ทันที่นายน้อยสกุลเหยาจะได้เอ่ยปากอีกครั้ง เขาพูดขึ้นเตือนสติอีกว่า
“หากเรื่องนี้รู้ถึงบิดาของเจ้า เขาจะอับอายการกระทำของเจ้าเพียงใด เจ้ารังแกแม้กระทั่งเด็กหญิง และนางเป็นบุตรสาวของใต้เท้าหลี่ไท่ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเล่าเรื่องราวแก่บิดาของเจ้าเองแล้วมาขอโทษนางด้วยความจริงใจในคราวหลัง แยกย้ายกลับจวน” เย่ชิงหลงกล่าว
เมื่อฝ่ายนั้นแยกย้ายกลับจวน เย่ชิงหลงหันมาดูหลี่เหลียนฮวาและคนอื่น ๆ เขาคิดว่าแม้จะมีคนน้อยกว่าแต่โดยรวมแล้วอยู่ในสภาพดีกว่ากลุ่มนั้นมากโข อาจเป็นเพราะเด็กชายสองคนผู้นี้ค่อนข้างมีฝีมือไม่น้อย
“คุณหนู ท่านเจ็บมากไหม” เสี่ยวหานถามหลี่เหลียนฮวาด้วยความเป็นห่วง ส่วนอาเฉินก็หันมาดูน้องสาวของตน โชคดีนักที่นายน้อยสกุลเหยาผู้นั้นไม่ได้มีวิชาต่อสู้ใด ๆ เหมือนกับคนที่เหลือ ทำให้หลี่เหลียนฮวาและจิ่วเอ๋อร์ไม่บาดเจ็บ
“ไม่เป็นไร” นางตอบกลับให้เขาหายเป็นห่วง
“มือท่านเจ็บหรือไม่” เขาถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่มาก อย่างกังวลเลย ดูเจ้ากับอาเฉินเถอะ ได้แผลอีกแล้ว” นางกังวลใจ
เย่ชิงหลง เมื่อได้เห็นมือหลี่เหลียนฮวามีเลือดไหลก็รีบเดินเข้ามาแล้วนำผ้ามาพันไว้ สีหน้าเป็นห่วงนาง
“ฮวาฮวา เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าที่จวน จะได้คอยอธิบายเรื่องราวให้บิดาเจ้าฟัง” เย่ชิงหลงอาสาไปส่งนางโดยที่ไม่ได้ร้องขอ หลี่เหลียนฮวาคิดว่าเขาคงช่วยพูดกับบิดาของนางให้ใจเย็นลงได้บ้างเลยไม่ได้ปฏิเสธ
“ขอบพระทัยเพคะ องค์ชายสาม”
“เรียกข้า เย่ชิงหลงเช่นเดิมเถอะ ฮวาฮวา” เขาตอบกลับ
----------------------------------------------------------------------
จวนสกุลหลี่
ใต้เท้าหลี่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาหลังกลับมาจากวังหลวง เงยหน้ามองมาที่ประตูไม้หน้าจวน ยามประตูเปิดออก สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นตกใจ ความรู้สึกประเดประดัง คิดต่าง ๆ นานว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับบุตรสาว
หลี่เหลียนฮวาไม่รอช้าให้บิดาได้เอ่ยคำใด นางวิ่งเข้ามากอดเขาแล้วบอกว่านางไม่เป็นอะไรเลย เมื่อเขาเห็นนางยิ้มก็ค่อยเบาใจลง ทั้งเมื่อมองไปด้านหลังยังเห็นองค์ชายสามเดินตามมา และสภาพของคนที่เหลือ แม้จะโล่งใจไปเปราะหนึ่งแต่ในใจนั้นสงสัยทวีคูณ
“องค์ชาย ทำไมท่านถึงได้มาพร้อมนาง” เขาถาม
“ข้าบังเอิญผ่านมา เจอนางเกิดเรื่องนิดหน่อย เมื่อจัดการเรื่องราวแล้ว จึงเดินมาส่งนางที่จวน” เย่ชิงหลงตอบเขา จากนั้นเขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ใต้เท้าหลี่ฟัง
“ขอบพระทัยองค์ชายที่ช่วยเหลือ”
“วันพรุ่ง ข้าจะมาพร้อมกับเขา ท่านไม่ต้องกังวล”
หลังจากส่งองค์ชายกลับวังเรียบร้อยแล้ว เขาสั่งให้แม่บ้านจางดูแลคนที่เหลือ ส่วนตัวเขานั่งคุยกับบุตรสาวสักพักแล้วไปส่งนางที่เรือน
--------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันรุ่งขึ้น
นายน้อยสกุลเหยาและผองเพื่อนเดินทางมาที่จวนสกุลหลี่เพื่อขอโทษ หลี่เหลียนฮวาอย่างเป็นทางการ โดยมีใต้เท้าหลี่และองค์ชายสามเป็นพยาน เมื่อสองฝ่ายปรับความเข้าใจกันได้แล้ว นายน้อยสกุลเหยาก็ขอลากลับเรือน
เจ้าพวกนี้ ทำไมถึงได้มองเสี่ยวหานเช่นนี้ คงไม่ได้คิดจะมาเอาคืนวันหลังหรอกนะ หลี่เหลียนฮวาเหลือบเห็นสายตาของนายน้อยสกุลเหยา จึงรู้สึกกังวลใจเป็นห่วงเสี่ยวหาน
ฝั่งเย่ชิงหลงเองเมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวกลับเช่นกัน
ใต้เท้าหลี่เรียกเสี่ยวหานและอาเฉินไปพูดคุยกันอยู่นาน แม้หลี่เหลียนฮวาจะถามว่ามีเรื่องอันใด พวกเขาก็ไม่เอ่ยปากบอก นางจึงเข้าใจว่าคงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวนางและมีความสำคัญจึงเก็บไว้เป็นความลับ
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นหลี่เหลียนฮวาสังเกตุว่าเสี่ยวหานและอาเฉินฝึกหนักขึ้นและมีบาดแผลแทบทุกวัน แต่กระนั้นทั้งสองก็ไม่เคยปริปาก ดูเป็นคนเข้มแข็งและพึ่งพาได้แม้จะยังอายุเท่านี้
ข้าเองก็ต้องเริ่มออกกำลังบ้างแล้ว ร่างกายจะได้แข็งแรงบ้าง พออยู่ที่นี่แล้วแทบไม่ได้ใช้แรงเลยจริง ๆ หลี่เหลียนฮวาคิดแล้วบอกจิ่วเอ๋อร์ว่า
“จิ่วเอ๋อร์ พี่ชายของเจ้าดูเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เจ้าเองก็ต้องรู้จักปกป้องตัวเองเช่นกัน แต่จะให้ไปเรียนแบบพี่ชายเจ้าคงจะไม่ไหว เดี๋ยวข้าจะสอนเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะคุณหนู” จิ่วเอ๋อร์ตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย
“ดีมาก เช่นนั้นมาเริ่มกันวันนี้เลย” นางรีบดึงแขนจิ่วเอ๋อร์ให้กลับเรือน
นอกจากหลี่เหลียนฮวาจะกังวลเรื่องเสี่ยวหานแล้ว นางยังเป็นห่วงจิ่วเอ๋อร์ไม่น้อย ทั้งรักและเอ็นดูจิ่วเอ๋อร์เหมือนน้องสาว ทุกวันนี้เมื่อมีขนมอร่อย ๆ นางจะให้จิ่วเอ๋อร์กินเยอะ ๆ หรือได้ไปที่ไหนสนุก ๆ จิ่วเอ๋อร์ก็จะได้ไปด้วย เรียกได้ว่าตัวติดกันยิ่งกว่าอะไร ส่วนอาเฉิน นางหายห่วงเพราะในฝันนั้นเขาอยู่ดีมีสุขยิ่งกว่าใคร
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนวันนี้ครบหนึ่งปีแล้วที่หลี่เหลียนฮวาอาศัยอยู่ในความฝันนี้ เด็ก ๆ ทุกคนเติบโตมาอย่างดี จิ่วเอ๋อร์เริ่มอ่านหนังสือออกบ้างแล้ว อาเฉินตัวสูงขึ้นเล็กน้อยและเพิ่งสอบผ่านชั้นเรียนการต่อสู้ขั้นแรกมาได้ ส่วนเสี่ยวหานนอกจากจะตัวสูงขึ้นเกือบเท่าอาเฉินที่อายุมากกว่าสองปี เขายังสอบผ่านเร็วกว่าอาเฉินหนึ่งขั้นด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ยามไปเดินเที่ยวเล่นที่ตลาดในเมืองหรือกลับบ้านเพียงลำพัง กลุ่มเด็กยักษ์ก็ไม่มีใครกล้ารังแกเขา เสี่ยวหานแบ่งปันอาหารที่ได้มาจากการทำงานที่จวนแก่เด็กกลุ่มนี้เสมอและคอยชี้แนะไม่ให้เด็กเหล่านี้กลายเป็นเด็กมีปัญหาตามคำแนะนำของหลี่เหลียนฮวา ทุกวันนี้พวกเขาทั้งหมดต่างเป็นเพื่อนที่คอยช่วยเหลือกันและกัน
เหมันตฤดูวนเวียนมาอีกครา แม่บ้านจางจึงพาทุกคนออกไปตลาดในเมืองเพื่อวัดตัวตัดเสื้อผ้าคลุมกันหนาว หลี่เหลียนฮวาถือโอกาสไปหาของกินและซื้อกระดาษกับพู่กัน
“เถ้าแก่ ข้าซื้อถังหูลู่สี่ไม้”
“ซาลาเปาห้าลูก นะเถ้าแก่”
“น้ำตาลปั้น พวกเจ้าอยากได้อันไหนเลือกเลย”
หลี่เหลียนฮวาและเด็ก ๆ เดินไปหาของกินร้านโน้นร้านนี้จนแม่บ้านจางแทบเดินตามไม่ทัน ขนมที่นางซื้อเกือบเต็มตะกร้า มือสองข้างถือถังหูลู่และน้ำตาลปั้น
เมื่อกินอิ่มเรียบร้อยก็ได้เวลาทำธุระ ระหว่างรอแม่บ้านจางคุยรายละเอียดกับเถ้าแก่ร้านขายผ้า หลี่เหลียนฮวาเดินมาฝั่งตรงข้ามเพื่อซื้อถุงเครื่องรางให้เสี่ยวหาน อาเฉินและจิ่วเอ๋อร์ ก่อนจะเดินไปซื้อกระดาษกับพู่กันให้ใต้เท้าหลี่
หลังเสร็จธุระเรียบร้อยต่างพากันหอบของพะรุงพะรังกลับจวนก่อนพลบค่ำ เสี่ยวหานมาส่งพวกเขาที่หน้าจวนแล้วแยกย้ายกลับบ้าน มือกุมถุงเครื่องรางที่หลี่เหลียนฮวามอบให้เอาไว้ด้วยความดีใจ
“อาเฉิน เจ้ารู้ไหมว่าเสี่ยวหานไปไหน ข้าไม่เห็นเขามาเกือบอาทิตย์แล้ว ปกติเขาต้องมาเรียนกับเจ้าทุกสองสามวันมิใช่หรือ” หลี่เหลียนฮวาถามอาเฉิน
“อาทิตย์ก่อนเสี่ยวหานบอกว่าจะลาสองสามวันไปช่วยท่านลุงข้างบ้านตัดฟืนในป่าขอรับคุณหนู”
“เช่นนั้นเจ้าช่วยไปดูเขาที่บ้านสักครั้ง ฝากขนมไปให้เขาด้วย” หลี่เหลียนฮวาวานให้อาเฉินแวะไปดูเสี่ยวหานที่บ้าน
“ขอรับคุณหนู” เขาตอบรับแล้วรีบจัดแจงข้าวของไปหาเสี่ยวหานที่บ้าน
ยามพลบค่ำ อาเฉินรีบเดินกลับจวนมาหาหลี่เหลียนฮวา
“คุณหนู ข้ารอเสี่ยวหานอยู่ทั้งวันแต่ไม่เห็นเขาเลย ถามท่านยายข้างบ้านได้ความว่าเขาเข้าป่าไปหลายวันแล้ว อย่างช้าบ่ายวันนี้เขาต้องถึงบ้าน ลูกชายของนางก็ยังไม่กลับมาเช่นเดียวกัน”
หลี่เหลียนฮวารู้สึกเป็นห่วงเสี่ยวหานและกังวล กลัวว่าเสี่ยวหานเกิดอะไรขึ้นมา รุ่งเช้านางจึงขอให้คนงานในจวนไปช่วยตามหาเสี่ยวหานอีกแรง ระหว่างเดินไปที่บ้านของเขา หลี่เหลียนฮวานึกภาพบางอย่างในความฝันครั้งนั้นได้จึงรีบวิ่งไปที่หน้าผา จากนั้นลงไปดูที่ริมทะเลสาบข้างล่าง ชะเง้อมองหาเขาซ้ายทีขวาทีไม่หยุดหย่อนจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า แม่บ้านจางจึงพานางกลับจวน นางตามหาเขาทั้งวันจนหมดเรี่ยวแรงแล้วผล็อยหลับไป
หลี่เหลียนฮวาตื่นเช้าเตรียมตัวออกไปตามหาเขาอีกครั้ง จังหวะที่ประตูไม้บานใหญ่เปิดออก ทันทีที่เห็นเสี่ยวหาน นางรีบวิ่งเข้าไปกอดเขาทั้งน้ำตา อารมณ์ความเป็นห่วง ความกลัวต่าง ๆ นานาหายเป็นปลิดทิ้ง