(เล่ม 1) เกิดใหม่
ลู่ฟางหนิง เธอเป็นนักศึกษา ปี 2 ภาควิชาภาษาต่างประเทศเอกภาษาอังกฤษ ลู่ฟางหนิง เป็นคนที่สดใสร่าเริงก็เฉพาะตอนอยู่กับเพื่อนๆเท่านั้น แต่ถ้าอยู่บ้าน เธอจะต้องอยู่ในกฎระเบียบ ที่พ่อแม่ได้วางเอาไว้ เริ่มตั้งแต่เรื่องการเรียนตั้งแต่เด็กจนเข้ามหาวิทยาลัยไม่มีวันไหนที่เธอไม่ต้องเรียน 365วันของลู่ฟางหนิงไม่เคยมีวันว่าง ขนาดวันหยุดได้ไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว พ่อแม่ของเธอยังหากิจกรรมให้เธอทำโดยการให้เธอไปนั่งเรียนศิลปะ นอกจากเรื่องเรียนหนังสือแล้วเธอก็ยังต้องเรียนดนตรี เรียนทำอาหาร และเล่นกีฬาที่พ่อแม่อยากให้เล่น เช่น ว่ายน้ำ ยิงปืน ขี่ม้า ตีกอล์ฟ ลู่ฟางหนิงจะต้องทำให้ได้ดีเช่นเดียวกับการเรียน วัยเด็กของลู่ฟางหนิงไม่เคยได้เล่นเหมือนกับเด็กๆทั่วไป ลู่ฟางหนิงจะมีความสุขที่สุดก็คือตอนที่ได้ไปโรงเรียนเพราะที่โรงเรียนมีเพื่อนวันเดียวกันเยอะแยะมากมาย ลู่ฟางหนิงก็เหมือนได้ปลดปล่อย ความเครียดจากการเรียนต่างๆนานาที่พ่อแม่ของเธอพยายามยัดเยียดให้เธอเรียน
ลู่ฟางหนิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน และตอนนี้ก็เวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆหนังสือมากมาย ที่กองอยู่บนโต๊ะเธอก็อ่านไปเกือบจะทั้งหมดแล้ว และพรุ่งนี้จะเป็นวันสอบลู่ฟางหนิงก็เลยมานั่งทบทวนหนังสืออีกรอบ เพื่อให้มั่นใจในการที่จะทำข้อสอบในวันพรุ่งนี้ ลู่ฟางหนิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังเริ่มปวดหัว แต่ก็พยายามอดทนเพราะเหลืออีกไม่กี่หน้าก็จะอ่านทบทวนเสร็จแล้ว เธอก็เลยฝืนนั่งอ่านหนังสือต่อ ลู่ฟางหนิงไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นหลับไปตอนไหน แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกทีเธอก็ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เพราะที่นี่มันกลางป่าไม่ใช่ห้องนอน ลู่ฟางหนิงจำได้ว่าก่อนที่เธอจะหลับไป เธอกำลังนั่งอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบในวันรุ่งขึ้น แต่ตอนนี้ เธอมองไปทางไหน ก็เจอแต่ความมืด ลู่ฟางหนิงขยับหัวไปมา ให้เศษหญ้าที่ปิดหน้าไว้หลุดออกไป พอเธอปรับสายตาให้เข้ากับความมืดได้ ก็พอมองออกว่าที่นี่มันเป็นกลางป่า เธอกำลังนอนอยู่กลางป่า นี่เธอมาอยู่ในป่าได้ยังไง ลู่ฟางหนิง พยายามที่จะขยับตัว และพลิกตัวเพื่อลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะพอจะขยับตัวเธอก็รู้สึกปวดระบมไปหมด เธอพยายามจะเอามือยันพื้นเพื่อจะลุกขึ้นนั่งแต่แขนก็ยังขยับไม่ได้ และตอนนี้ก็ไม่มีแรงพอที่จะยันตัว เธอพยายามออกแรงอยู่อีกหลายครั้ง ก็ยังไม่สามารถขยับตัวได้อยู่ดี ตอนนี้ลู่ฟางหนิงก็เลยต้องนอนนิ่งๆและไม่พยายามออกแรงอีก เพื่อเป็นการออมแรงเอาไว้ก่อน ลู่ฟางหนิงก็เลยนอนหลับตาลง ขณะที่เธอกำลังหลับตา ลู่ฟางหนิงก็เห็นภาพต่างๆและเรื่องราวต่างๆของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาให้หัวของเธอเป็นฉากๆ เรื่องราวต่างๆที่ปรากฏขึ้นเสมือนภาพฝัน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้นอนหลับแค่เพียงหลับตา ภาพต่างๆก็ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนว่าเธอกำลังดูละครเรื่องหนึ่งอยู่ เรื่องมันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเด็ก วัยเด็กของเด็กคนนี้เติบโตมาแบบไหน ทำอะไรมาบ้าง เรียนอะไรมาบ้าง และการดำเนินชีวิตประจำวันของเด็กคนนี้เป็นยังไง พ่อแม่ญาติพี่น้อง มีใครบ้าง หญิงรับใช้หน้าตายังไงบ้าง ภาพเหล่านั้นก็ปรากฏให้ลู่ฟางหนิงเห็นทั้งหมด จนมาถึงตอนก่อนที่เด็กคนนี้กำลังจะสิ้นใจตายระหว่างที่เดินทางมาทำการค้าต่างเมืองครอบครัวของเด็กหญิงก็โดนโจรดักปล้นโจรได้ฆ่าพ่อแม่ ของเด็กหญิงและคนอื่นๆจนเกือบหมด เหลือรอดแค่เด็กหญิง กับหญิงรับใช้ และผู้คุ้มกันอีกคนที่ช่วยพาเด็กหญิงหนี และก่อนที่พ่อของเด็กหญิงจะถูกฆ่า เด็กหญิงคนนี้ยังจำภาพนั้นได้ติดตาเพราะว่าพ่อเธอขอร้องให้ผู้คุ้มกันช่วยพาลูกสาวของเขาหนี ผู้คุ้มกันก็ทำตามคำสั่งพาเด็กหญิงหนีจากโจร และต่อจากนั้นพ่อของเด็กหญิงก็ถูกโจรฆ่าตาย และผู้คุ้มกันก็ขับรถม้าไปตามทางในป่า แต่ระหว่างทางพวกโจรก็ขี่ม้าไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด พวกโจรได้ใช้ธนูยิงผู้คุ้มกันจนตาย และม้าที่ไม่มีคนบังคับก็ตกใจวิ่งเตลิดโดยไม่รู้ทิศทางจนรถม้าไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางอยู่หลายครั้งและเชือกที่ผูกกับหลังม้าก็หลุดออกม้า 2 ตัวก็วิ่งหนีหายเข้าไปในป่าส่วนรถม้าก็ไถลไปแบบไม่รู้ทิศทาง แล้วรถม้าก็ได้ไถลไปทางที่เป็นหุบเหวในไม่กี่วินาทีต่อมารถม้าก็ตกลงไปในเหวลึก พวกโจรต่างก็คิดว่าคนบนรถและทรัพย์สมบัติที่อยู่บนรถม้า ตกลงไปก้นเหวหมดแล้วพวกมันไม่คิดที่จะตามไปดูที่ก้นเหวก็เลยควบม้ากลับไป
แต่พวกโจรคงคิดไม่ถึงว่าเด็กหญิงและหญิงสาวรับใช้จะใจกล้า และกล้ากระโดดออกมาจากรถม้า ก่อนที่รถม้าจะพุ่งตกเหว ทั้งสองคนช่วยกันเอาทรัพย์สมบัติ ที่พ่อของเด็กหญิงเอามายัดใส่มือให้ ตอนก่อนที่จะให้ผู้คุ้มกันพาหนี เอามาห่อไว้ในห่อผ้า คนละห่อ แล้วทั้งสองคนก็พากันกระโดดลงมาจากรถม้าที่กำลังเสียหลักพอกระโดดลงมาถึงพื้นดินทั้งสองคนก็นอนสลบไปทันที หญิงรับใช้ที่ร่างกายแข็งแรงกว่า และโชคดีที่กระโดดลงมาเจอต้นหญ้าหนาๆ ก็เลยทำให้ร่างกาย ไม่เจ็บมาก ตอนนี้หญิงรับใช้รู้สึกตัวขึ้นมาก่อนพอตั้งสติได้ก็รีบตามหาคุณหนู(หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือองค์หญิงน้อยของแคว้นต้าเฉิน) ที่กระเด็นไปอีกทาง หญิงรับใช้เดินหาคุณหนูจนเจอ พอเจอคุณหนูก็พยายามปลุกและก็เรียก แต่เรียกเท่าไหร่คุณหนูก็ยังไม่ลืมตา หญิงรับใช้ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าก็ตกใจนึกว่าพวกโจรกลับมาตามหาพวกตนก็เลยรีบลากคุณหนูและห่อผ้า ที่ห่อทรัพย์สมบัติเอาไห้ไปหลบไว้ในพงหญ้าที่สูงท่วมหัว พอจัดการเรื่องคุณหนูแล้ว หญิงรับใช้ก็ ตั้งใจจะไปแอบดูว่าใช่พวกโจรหรือเปล่า พอไปแอบดูแล้วปรากฏว่าไม่ใช่พวกโจรแต่เป็นพวกทหาร ที่กำลังขี่ม้ามาตามทางและในขบวนก็ยังมีรถม้าหลังใหญ่อีก 1 คันหญิงรับใช้ที่ไม่กลัวตายก็เลยกระโดดขวางทางของขบวนทหารเสียเลย
“เฮ้ย!!! หยุด!!!” ทหารกองหน้า ตกใจมากที่อยู่ดีๆก็มีหญิงสาวโผล่พรวดออกมาจากข้างทาง เขารีบส่งสัญญาณว่าให้หยุดขบวน
“มีอะไร” รองแม่ทัพรีบขี่ม้าขึ้นมาด้านหน้า แล้วถามทหารกองหน้า
“มีผู้หญิง มาขวางทางขอรับ”
รองแม่ทัพพอเห็นผู้หญิงที่ตอนนี้นั่งคุกเข่าและหมอบอยู่ด้านหน้า ก็เลยลงจากหลังม้า แล้วเดินไปถามหญิงคนดังกล่าว “เจ้ามาขวางทางพวกข้าทำไม”
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยพวกเราด้วยเจ้าคะ ได้โปรดไปช่วยคุณหนูของข้าด้วยเจ้าคะ” หญิงรับใช้พยายามอ้อนวอน ขอความช่วยเหลือ จากพวกทหาร
“มีเรื่องอะไรกัน” แม่ทัพใหญ่ที่เห็นว่าขบวนหยุดนิ่ง และเหมือนว่าข้างหน้ามีเรื่องอะไรก็เลยเดินลงมาจากรถม้า แล้วมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้มาขอความช่วยเหลือขอรับ” รองแม่ทัพรายงาน
“เจ้าเป็นใครทำไมถึงมาขวางพวกข้า” แม่ทัพใหญ่ถามหญิงรับใช้
“ข้าเป็นหญิงรับใช้ อยากมาขอความช่วยเหลือจากพวกท่านเจ้าค่ะ นายท่านกับนายหญิงโดนพวกโจรดักปล้น ข้ากับคุณหนูหนีมาได้แต่ตอนนี้คุณหนูได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าขอร้องพวกท่านได้โปรดไปช่วยคุณหนู ของข้าน้อยด้วยนะเจ้าคะ”
แม่ทัพใหญ่สอบถามหญิงรับใช้อีกมากมายหลายคำถาม หญิงรับใช้ ก็เล่าทุกอย่างให้ท่านแม่ทัพฟังจนหมด ท่านแม่ทัพและรองแม่ทัพ พร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่ง ก็เดินตามหญิงรับใช้เข้าไปในป่า และพวกเขาก็มาเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ตอนนี้นอนลืมตาโพลง แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ พอหญิงรับใช้เห็นว่าเด็กหญิง คนนั้นฟื้นแล้ว ก็ร้องไห้ดีใจ
“คุณหนู คุณหนูฟื้นแล้ว มีคนมาช่วยพวกเราแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูอดทนหน่อยนะเจ้าคะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งกำลังพูดกับเธอ ลู่ฟางหนิงพยายามเพ่งมองเพราะตอนนี้มันมืดมากและ เมื่อพยายามมองดูดีๆก็เห็นหน้าหญิงสาวคนนี้คือคนที่อยู่ในภาพที่ฉายเข้ามาในหัวเมื่อครู่ ผู้หญิงคนนี้ คือคนที่อยู่กับเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่เอ๊ะ ทำไมผู้หญิงคนนี้ ถึงเรียกว่าเธอว่าคุณหนูหรือว่า!!! ลู่ฟางหนิงตกใจจนตาโต เธอรู้สึกตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น หรือว่า เธอตายไปแล้ว และดวงวิญญาณของเธอมาอาศัยร่าง ของเด็กน้อยคนนี้ ตอนนี้ลู่ฟางหนิงถูกประคองให้ลุกขึ้นนั่ง เธอก็มองสำรวจร่างกายตนเองในขณะนี้ แขน มือ ขา ทำไมมันดูเล็กแบบนี้ อย่างนี้ต้องใช่แน่ๆ เธอในชาติก่อนต้องตายไปแล้วแน่ๆ ตอนนั้นเธอเป็นอะไรถึงตายล่ะ หรือว่า เธอใช้สมองมากเกินไปก็ เลยทำให้เส้นเลือดในสมองแตกจนตาย “ใช่ต้องเป็นสาเหตุนี้แน่ๆ” แต่ทำไมต้องส่งวิญญาณของเธอมาอยู่ในร่างนี้ด้วย เธอกับเด็กคนนี้มีอะไรเหมือนกันหรือเปล่านะ แล้วดวงวิญญาณของเด็กคนนี้ล่ะตอนนี้ไปอยู่เสียที่ไหน ลู่ฟางหนิงได้แต่นั่งคิดอยู่คนเดียวหรือว่าเบื้องบนต้องการให้เธอมาแก้ไขข้อผิดพลาดของเด็กหญิงคนนี้หรือเปล่านะ ลู่ฟางหนิงเริ่มปะติดปะต่อ ว่าเธอกับเด็กคนนี้มีอะไรที่คล้ายกันบ้าง เด็กคนนี้เป็นเด็กที่ชอบเรียนหนังสือและชอบศึกษาตำราต่างๆ หนังสือเกือบทุกเล่มที่อยู่ในห้องหนังสือของที่บ้านเด็กคนนี้ก็อ่านเสียเกือบจะทั้งหมด ภาษาต่างประเทศ เด็กคนนี้ก็สามารถอ่านได้แถมเก่งมากอีกด้วย วัยเด็กของเด็กคนนี้ก็ช่างขาดสีสันมาก และไม่เคยได้เล่นซุกซนเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ชีวิตของเธอมักจะอยู่ในกรอบ และกฎข้อบังคับต่างๆเพื่อนในวัยเดียวกัน ก็ไม่มีสักคนเดียว มีแต่สาวใช้ ที่คอยอยู่เป็นเพื่อน หรือว่าเบื้องบน อยากจะช่วยให้เด็กคนนี้ มีความสุขในวัยเด็กเหมือนเด็กคนอื่น (ข้อนี้ลู่ฟางหนิงคิดเองก็เลยสรุปเอาเอง เพราะเธอไม่เห็นเหตุผลใดที่ดีกว่าข้อนี้อีกแล้ว และเพราะเธอเองก็ถูกกดดันมาเหมือนกันอยากจะเล่นสนุกกับเพื่อนๆก็ต้องคอยแอบเล่น แต่เธอยังโชคดีกว่าเด็กคนนี้นิดหนึ่ง ก็คือเธอมีเพื่อนที่โรงเรียน และสามารถเล่นซุกซนกับเพื่อนๆที่โรงเรียนได้ )
“ท่านแม่ทัพคนนี้คือคุณหนูของข้าเองชื่อคุณหนูฟางหนิงเจ้าค่ะ”หญิงรับใช้พูดแนะนำ( เด็กผู้หญิงคนนี้ ชื่อเดียวกับเธอด้วย ลู่ฟางหนิงคิด)
ท่านแม่ทัพเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็เห็นเด็กหญิงตัวเล็ก น่ารัก นั่งนิ่งอยู่ ท่านแม่ทัพจำได้ทันทีที่เห็น “องค์หญิงน้อย” ท่านแม่ทัพอุทานออกมาเพราะจำเด็กน้อยคนนี้ได้
“ท่านรู้จักองค์หญิงน้อย ของพวกเราด้วยหรือเจ้าค่ะ” หญิงรับถามท่านแม่ทัพ ตอนนี้เธอรู้สึกแปลกใจปนตกใจที่ท่านแม่ทัพพูดว่าองค์หญิงน้อย
“ใช่” “ข้ารู้จักเมื่อก่อนข้ากับท่านอ๋องเคยทำการค้าด้วยกันและตอนนั้นองค์หญิงน้อยก็ตามเสด็จด้วย” ท่านแม่ทัพตอบสาวใช้เสร็จก็หันหน้ามาทางองค์หญิงน้อย แล้วก็พูดกับองค์หญิงน้อย “องค์หญิงน้อยจำข้าน้อยจำข้าน้อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ลู่ฟางหนิงนั่งมองและก็ทำตาปริบๆเพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดีเพราะเธอไม่รู้จักท่านแม่ทัพคนนี้ แต่เจ้าของร่างเดิมของเด็กคนนี้คงจะต้องรู้จักท่านแม่ทัพเป็นแน่ลู่ฟางหนิงใช้ความคิดโดยไม่พูดอะไร ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็คงต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม (เหมือนในละครทีวี ที่เขาฮิตๆกัน) “ ข้าปวดหัว” แล้วลู่ฟางหนิงก็พยายามยกแขนที่แทบจะไม่มีแรงขึ้นมา แล้วก็เอามือมากุมหัวตัวเองไว้ ให้แนบเนียนสุดๆ แล้วปากก็พูดว่า “ข้าปวดหัว” ท่านแม่ทัพและหญิงรับใช้ เมื่อได้ยินที่องค์หญิงน้อยพูดก็ไม่ถามต่อแล้ว ตอนนี้พวกเขาจึงช่วยกันพาองค์หญิงน้อย ออกจากป่าและรีบเร่งเดินทางเพื่อไปหาที่พัก ตอนนี้การรักษาขององค์หญิงน้อยเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ต้องรีบทำ ระหว่างที่กำลังเดินทางท่านแม่ทัพ ก็สั่งให้ทหารรีบไปตามหาหมอที่ฝีมือดี มารักษาองค์หญิงน้อย และก็สั่งทหารทุกคนที่ร่วมเดินทางมาให้ปกปิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ เป็นถึงองค์หญิงน้อยของแคว้นต้าเฉิน เพราะถ้าเกิดพวกโจรรู้(ท่านแม่ทัพไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นโจรธรรมดา) อาจจะตามมาเอาชีวิตขององค์หญิงน้อยอีกเป็นแน่
ตอนนี้ท่านแม่ทัพแวะพักที่โรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง และทหารก็พาหมอมาถึงพอดี ท่านแม่ทัพจึงรีบพาหมอได้เข้าไปตรวจอาการขององค์หญิงน้อยในห้องทันที หมอเดินออกมาหลังจากที่เข้าไปรักษาองค์หญิงน้อยเสร็จก็รีบออกมารายงานกับท่านแม่ทัพ
“คุณหนูกระดูกที่แขนร้าวไม่ถึงกับหักข้าได้ทำการรักษาให้แล้วไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็จะหายเป็นปกติและข้าจะเขียนเทียบยาที่จะใช้ต้มให้คุณหนูกินยาตัวนี้กินแค่ 3 วันอาการ ปวดบวม ต่างๆ ก็จะหายดี ส่วนพวกรอยฟกช้ำตามร่างกายข้าก็ได้จัดยาสำหรับทา เพียงทาไม่กี่วันรอยฟกช้ำต่างๆก็จะหายดี ตอนนี้ร่างกายของคุณหนูแข็งแรงดีข้าคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะฟื้นตัวและกลับมาแข็งแรงเหมือนปกติ” หมอที่ทำการรักษา รายงานกับท่านแม่ทัพ ถึงอาการบาดเจ็บที่ คุณหนูได้รับมา
“แล้วที่ศีรษะที่ได้รับความกระทบกระเทือนล่ะท่านรักษาได้หรือไม่” ท่านแม่ทัพถาม เพราะเมื่อครู่ องค์หญิงน้อย พูดว่าปวดหัว
“ข้าดูแล้ว ศีรษะของคุณหนู ปูดบวมนิดหน่อย แต่ไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่กี่วันก็หายดี”
“แต่คุณหนูเขาจำข้าไม่ได้” ท่านแม่ทัพ บอกกับหมอที่มารักษา
“ความทรงจำอาจจะหายไปชั่วคราวก็เป็นไปได้ ข้าเคยรักษาคนที่ตกมาแบบนี้เหมือนกัน”ท่านหมอที่มารักษาพูดให้ท่านแม่ทัพสบายใจ
“เช่นนั้นรึ” ท่านแม่ทัพพูดแต่ก็ยังสงสัยอยู่
“ขอรับ ผ่านไปไม่นาน ผู้ชายคนนั้นก็กลับมาจำได้ปกติขอรับ ท่านแม่ทัพไม่ต้องเป็นห่วง” หมอรีบพูดยืนยันอีกครั้ง
“เดี๋ยวเจ้าไปส่งท่านหมอและก็แวะจัดยาที่ร้านขายยามาด้วย” ท่านแม่ทัพสั่งรองแม่ทัพให้ไปจัดการ
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” แล้วรองแม่ทัพ ก็เดินตามหลังท่านหมอไป
“ส่วนเจ้าก็ดูแลคุณหนูให้ดี แล้วก็เอายาที่ท่านหมอจัดให้เอามาทาให้ตัวเองด้วย” ท่านแม่ทัพบอกกับสาวใช้เพราะเห็นว่าสาวใช้ก็บาดเจ็บเหมือนกัน
“เจ้าคะท่านแม่ทัพ”สาวใช้รีบรับคำของท่านแม่ทัพ
1 เดือนต่อมา ท่านแม่ทัพ ก็พาองค์หญิงน้อย กลับมาที่จวนด้วยท่านแม่ทัพได้สั่งทหารทุกคนไว้แล้วว่าต่อไปนี้องค์หญิงน้อยคนนี้จะอยู่ที่จวนในฐานะลูกสาวบุญธรรมของเขา ห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องครอบครัวขององค์หญิงน้อยที่ถูกโจรปล้น หรือบอกใครว่าคุณหนู คนนี้เป็นถึงองค์หญิงน้อยของแคว้นต้าเฉิน