bc

The Deadline รัตติกาลแลกเปลี่ยนรัก

book_age18+
34
FOLLOW
1K
READ
mystery
vampire
like
intro-logo
Blurb

ใครๆต่างบอกว่า 'ฉัน' มีดวงชะตาแห่งพระจันทร์สีเลือด

ทุกอย่างในชีวิตจะพบเจอกับความเลวร้ายและทำให้ชีวิตคนรอบข้างพบแต่ความวิบัติ

ฉันไม่เคยเชื่ออะไรแบบนี้เลย กระทั่งวันเกิดครบอายุ 15 ปี

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของลางร้ายในชีวิต

ทว่าเมื่อตัดสินใจเดินทางไปประเทศอังกฤษเพื่อนำพาชะตาวิบัติไปให้พ้นจากคนรอบข้างที่รัก

ทันทีที่พบกับหนุ่มตาฟ้าลูกชายเล็กของโฮสอย่าง ‘เขา’ ผู้มาพร้อมเรื่องลึกลับซ่อนเล้นบางอย่าง

ชีวิตฉันจึงเปลี่ยนไปตลอดกาล.....

chap-preview
Free preview
Prologue
I’m not that serious because everything is like a toy to play with just for fun.” ปึง! ปึง! ปึง! เสียงที่จับประตูทรงโมเดิร์นกอทิกเคาะกับเข้าประตูโค้งบานใหญ่ดังขึ้นด้วยฝ่ามือหนาหยาบของพ่อบ้าน ‘อัลเบิร์ต’ ขณะที่ร่างบางระหงส์ภูมิฐานของคุณผู้หญิง‘จูเลีย’ ยืนรอคอยด้วยความระอาใจ “เอากุญแจไขแล้วเปิดเข้าไปเลย อัลเบิร์ต” เธอตัดสินใจโดยทันที หลังจากเคาะประตูเรียกเตือนคนในห้องเพียงแค่ครั้งเดียว นัยตาน์สีฟ้าสดสุกสกาวพลางก้มมองดูนาฬิกาข้อมือเรือนงามประหนึ่งเร่งรีบ “จะดีเหรอครับคุณผู้หญิง” อัลเบิร์ตทวนถามเพื่อความแน่ใจ “เปิดเข้าไปเลย เรามีเวลาไม่มากนัก” เธอสั่งเสียงมั่น พ่อบ้านอัลเบิร์ตพยักหน้ารับ แล้วเลือกลูกกุญแจจากพ่วงกุญแจชุดใหญ่สีเงินหม่นรูปทรงโบราณ แต่ยังคงความงดงามจนต้องมองข้ามมาเก่าคร่ำครึนั้นไป เมื่อพ่อบ้านเลือกได้ถูกดอกจึงรีบไขและเปิดประตูห้องให้คุณผู้หญิงทันที​ “แม่บ้าน! ตามฉันเข้ามา” จูเลียสั่งแม่บ้านสองคนที่อยู่ด้านหลังให้ตามทัพเข้ามาในห้องสีดำทะมึน หน้าต่างห้องถูกปิดสนิทด้วยผ้าม่านหมดทุกจุด จูเลียตรงดิ่งเข้าไปยังโซนในสุด ซึ่งมีเตียงนอนขนาดคิงไซน์ตั้งตระหง่านอยู่ภายใน ใจกลางเตียงมีผ้าห่มกองหนาสุ่มคลุมมิดร่างเป้าหมาย “ปลุกเจมี่เดี๋ยวนี้” จูเลียสั่งแม่บ้านทั้งสองด้วยน้ำเสียงฮึดฮัดราวกับกักเก็บอารมณ์เหนื่อยหน่ายเต็มที “ค่ะคุณผู้หญิง” แม่บ้านโค้งตัวพร้อมขานรับ ก่อนจะปรี่เข้าไปที่เตียง “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเจเรมี่ ได้เวลาเตรียมตัวแล้วค่ะ” “คุณผู้หญิงรออยู่ค่ะ” “อื้ออ!!” ทันทีที่แม่บ้านถือวิสาสะเขย่าร่างภายใต้ผ้าห่มเบาๆ เสียงทุ้มต่ำคำรามตอบรับด้วยความขัดใจทันที แม่บ้านมีความหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย ทำท่าอึกอักจนคุณผู้หญิงต้องถอนหายใจ แล้วเข้าไปลงมือด้วยตัวเอง พรึบ!!! มือเรียวสวยดึงผ้าห่มออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นร่างเกือบเปลือยเปล่าของลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลอย่าง ‘เจเรมี่ แม็คควีน’ หนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีเศษ “ตื่นเดี๋ยวนี้ เจมี่!!!” จูเลียกดเสียงต่ำคำราม เรือนร่างสมมาตรงดงามขยับนิดหน่อย คิ้วขมวดมุ่นอยู่สักครู่เหมือนรำคาญเสียงรบกวน ก่อนจะค่อยๆ คลายปม โดยที่เปลือกตายังคงปิดสนิทหลับพริ้ม ไม่ใส่ใจเสียงคำรามของผู้เป็นแม่และสายตาสี่คู่ที่กำลังจดจ่อร่างกายกึ่งเปลือยเปล่าของเขาอยู่ตอนนี้ “เจมี่! แม่บอกให้ตื่น!” จูเลียพยายามปลุกลูกชายต่อ พลางใช้สายตาสำรวจบริเวณโดยรอบไปด้วย แล้วพยักเพยิดหน้าไปทางหน้าต่างเป็นเชิงสั่งให้แม่บ้านไปเปิดผ้าม่าน พรืด!! กระทั่งแสงธรรมชาติจากทุกทิศทางสาดส่องเข้ามา เปลือกตาของเจเรมี่กระตุกนิดหน่อย แต่ก็ยังดื้อดึงฝังหน้าลงบนหมอนเช่นเดิม “เมื่อคืนเจมี่พาใครเข้ามาใช่ไหม” จูเลียสังเกตเห็นลิปสติกบนร่างกายลูกชาย ความจริงเธอแทบไม่ต้องถามไถ่พ่อบ้านอัลเบิร์ตเลยด้วยซ้ำ เพราะเซ็กส์เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะกับลูกชายวัยยี่สิบปลาย ผู้ซึ่งไม่มีความมั่นคงใดๆ ทั้งสิ้น “ใช่ครับ” อัลเบิร์ตตอบรับ “แล้วผู้หญิงไปไหนแล้ว?” “คุณเจเรมี่ให้คนขับรถไปส่งหลังเสร็จธุระทันทีครับ” “ร่วมใคร่ได้ แต่ไม่ยอมร่วมเตียงสินะ” จูเลียส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา คุณผู้หญิงจูเลียเป็นคนในแวดวงสังคม มีหน้ามีตาในหลายวงการ เธอทำงานสานต่อจากย่า ‘อิสเบล’ ผู้ลาวงการและปลีกวิเวกไปอยู่เมืองเล็กๆ ในเวลล์เมื่อสี่ปีก่อน จูเลียจึงกลายมาเป็นคุณผู้หญิงใหญ่ผู้กุมบังเ**ยน ทว่าเธอกลับไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้าน เดินสายตระเวนออกงานสังคมไปทั่วสารทิศอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ลูกชายเพียงคนเดียวกลายเป็นใหญ่ในบ้านหลังนี้ไปโดยปริยาย “ถ้าลูกไม่ตื่น แม่จะแจ้งคาลอสให้มารับลูกไปดัดสันดานที่วิค” (หมู่บ้านเล็กๆ บนเกาะไอซ์แลนด์) “อือออ~ คุณหญิงจูเลียไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอู้อี้ ขณะใบหน้าคว่ำบนหมอนค่อยๆ หมุนเอียงปรับองศา ก่อนที่เปลือกตาจะเปิดขึ้นช้าๆ เผยนัยน์ตาสีฟ้าใสสุกสกาวไสวราวพื้นน้ำทะเลตามแนวปะการัง นัยน์ตาเขาฉายแววล่องลอยและเอื่อยเฉื่อย ทว่ามีเคล้าของความดุดันในที ร่างกายสูงใหญ่ค่อยๆ ยันตัวขึ้นนั่ง แล้วเอนหลังพิงหัวเตียงอย่างขี้คร้าน ทุกสายตาจับจ้องท่วงท่าของคนบนเตียง จึงได้เชยชมลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลแม็คควีนชัดเต็มตา เมื่อพูดถึงหนุ่มเชื้อชาติอังกฤษ ‘เจเรมี่ แม็คควีน’ ถือว่าแตกต่างจากชนชั้นทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เจเรมี่เป็นเจ้าของเรือนหน้าหล่อล้ำคมคายราวสวรรค์สรรสร้าง เขามีเรียวกรามวาดตวัดเป็นตัวแอลลาดเอียงโค้งสวยอย่างชัดเจน กรอบหน้าเล็กขึ้นโครงเหลี่ยมนิดหน่อยเพื่อตัดใบหน้ารูปไข่ให้มีมิติ สันจมูกคมโด่งไล้ลาดเป็นสันงดงาม ไม่พุ่งตรงแข็งทื่อไร้เสน่ห์ ริมฝีปากบนบางกระจับหยักลึก กลีบปากล่างหนาปานกลางรับได้ลงตัวกับเรียวคันศรของกลีบปากบน มุมปากสองข้างยกตั้งปักจุด ทำองศาบ่งบอกถึงความเพทุบายแสนกลอันเหลือร้าย โดยปกติ ผู้ชายผมสีอ่อนจะแลดูจืดชืดสำหรับสาวๆ อังกฤษ แต่เจเรมี่สามารถดึงเสน่ห์ส่วนนี้มาใช้ได้เหลือเชื่อ เรือนผมสีบลอนด์เทาหม่นอลูมิเนียมขับความร้ายบนใบหน้าให้เขายิ่งดูทะนงตนและแข็งกร้าวราวปีศาจในร่างจำแลง อีกทั้ง สรีระอันสมบูรณ์แบบเสมือนพระหัตถ์เทพบรรจงปลุกปั้นขึ้นมาอย่างประณีต มัดกล้ามเนื้อชัดเจนทุกสัดส่วน ผิวพรรณขาวซีดนิดหน่อย มีกระประปราย และเห็นรอยเส้นเลือดสีเขียวและม่วงรำไร แต่ไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด ทว่ากลับเป็นการเพิ่มความน่าหลงใหลอันเปราะบาง เพราะกายหยาบร่างนี้ดูนวลเนียนประหนึ่งปติมากรรมชั้นยอด มีออร่าความสูงส่งแผ่รุนแรง จนผู้พบเห็นเกิดความสำเหนียกตัว ไม่อาจหาญเอื้อมหรือแตะต้องร่างแปลงเทพของเขาผู้นี้ ถ้าจะหาสิ่งเปรียบเทียบ ‘เจเรมี่ แม็คควีน’ เขาคงเป็นดั่งลูซิเฟอร์ในร่างก่อนถูกสวรรค์เนรเทศ ยิ่งรูปลักษณ์ภายนอกดูยิ่งใหญ่สูงส่งเท่าไหร่ นิสัยใจคอนั้นเย่อหยิ่งและจองหองมากขึ้นทวีคูณ เขามักทะนงตนอยู่เหนือห่วงโซ่อาหาร ไม่ยอมลดตัวลงไปเกลือกกลั้วกับใครโดยไม่จำเป็น เขาตีค่าตนเองสูงเสียดฟ้า เสมือนเป็นสิ่งที่ผู้คนธรรมดาไม่อาจแตะต้อง ขนาดผู้ให้กำเนิดอย่างคุณผู้หญิงจูเลียถึงกับต้องกลุ้มใจ รู้สึกไร้ศักยภาพในการเลี้ยงดูสั่งสอน ไม่รู้เป็นเพราะเธอละเลยเขา หรือตามใจจนเกินไป เจเรมี่ถึงกลายเป็นคนพยองยศและเล่นด้วยยากเช่นนี้ “แม่ให้อัลเบิร์ตแจ้งแล้วไม่ใช่เหรอ คุณย่าอิสเบลกับอธิการบดีเฟร็ดจะมาวันนี้” จูเลียกอดอก เชิดหน้าทวนกำหนดการ “เหรอ” เจเรมี่เอียงศีรษะทำหน้าฉงน แล้วค่อยๆ ดึงมุมปากฉีกยิ้มกริ่ม “ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย คุณหญิงจูเลียต้องลงโทษอัลเบิร์ตสถานหนักแล้วล่ะ ทำงานได้บกพร่องแบบนี้” จูเลียมองใบหน้าเปื้อนยิ้มแสนร้ายของลูกชาย เธอชินชากับความโยกโย้สับปลับ เจเรมี่โบ้ยความผิดให้พ่อบ้านด้วยความสนุกสนาน แม้คนเป็นแม่จะรู้เท่าทัน แต่นิสัยไม่ยี่หระสิ่งใด มักทำให้คนอื่นเดือดร้อนเสมอ ซึ่งตอนนี้ผู้ถูกกล่าวหาหน้าขึ้นสีซีดนิดหน่อย อัลเบิร์ตเป็นพ่อบ้านให้ตระกูลแม็คควีนมานาน เขาทำงานได้ดี ไม่ขาดตกบกพร่องเลยสักนิด อันที่จริงอัลเบิร์ตแจ้งกำหนดการล่วงหน้าให้แก่เจเรมี่แล้ว อีกทั้งพยายามปลุกคุณผู้ชายแสนเพทุบายหลายรอบก่อนหน้า ถึงจะรู้ว่าเป็นการแกล้ง แต่อัลเบิร์ตก็แอบกังวลว่าคุณผู้หญิงจะปักใจเชื่อจริงๆ “อย่าเล่นลิ้นแกล้งคนอื่น ตอนนี้ลูกมีเวลาแค่ยี่สิบนาทีในการจัดการตัวเอง” “ขอยี่สิบสามนาทีได้ไหม ผมชอบให้มีเลขสามลงท้าย” “อย่ากวนประสาทแม่! รีบๆ เปลี่ยนชุดหรืออาบน้ำซะ แล้วลงไปเจอกันที่ห้องโถง ห้ามสายเด็ดขาด! อย่าให้ผู้ใหญ่ต้องรอ มันไร้มารยาท!” จูเลียสั่งเสียงกร้าวทิ้งทวน แล้วสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปทันที “สะบัดคอแทบเคล็ดนะว่าไหมอัลเบิร์ต?” เจเรมี่ถามพ่อบ้านด้วยสีหน้าล้อเลียน รู้สึกขำขันอารมณ์หงุดหงิดของผู้เป็นแม่ อัลเบิร์ตไม่เอ่ยตอบ แต่ผงกศีรษะรับนิดหน่อยเท่านั้น เพราะรู้หลักในการรับมือกับนิสัยคุณผู้ชายคนนี้ดี นั่นคือการตามน้ำไปกับทุกอย่างที่เจเรมี่ต้องการ 20 นาทีผ่านไป ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมกอทิกอังกฤษ เลอค่าไปด้วยกลิ่นอายอารยธรรมเก่าแก่ ซึ่งผสมผสานความคลาสสิคเพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความล้ำสมัย ไม่เก่าคร่ำครึจนไม่ทันยุคที่เปลี่ยนไป ประตูและหน้าต่างเป็นซุ่มโค้งสลักลวดลายประณีตแลน่าตื่นตา รับได้ดีกับเพดานโค้งแหลมโอโถงคล้ายวิหารเวสส์มินสเตอร์อันศักดิ์สิทธิ์ โซฟาหนังกลับชุดใหญ่ตระหง่านตาอยู่ใจกลางห้องโถง เบื้องหน้าประกอบด้วยเตาผิงสีเทาหินอ่อนจุดไฟประกายโชดช่วงสร้างความอบอุ่นให้ห้องนี้ได้ดี ใจกลางโถงมีสามร่างอาวุโสนั่งภูมิฐานเพื่อปรึกษาหารือกัน โดยหนึ่งในผู้มีศักดิ์สูงสุดอย่าง ท่านผู้หญิง ‘อิสเบล’ เป็นประธานในการสนทนาครั้งนี้ และคุณผู้หญิงจูเลีย ลูกสะใภ้ผู้น่ายำเกรงรั้งตำแหน่งมือขวาอยู่ด้านข้าง อธิการบดีเฟร็ดในชุดสูทลายทางสีกรม-เทานั่งในท่วงท่าประหม่านิดหน่อย เพราะสองสตรีตรงหน้าแผ่รังสีแห่งความสูงส่ง มีกลิ่นอายความยิ่งใหญ่ ส่งผลให้เขารู้สึกตัวลีบเล็กเท่าลูกไก่ตัวน้อยในดงราชสีห์ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนของเฟร็ดกวาดสำรวจความงามของบ้านตระกูลแม็คควีนด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไล่ลากลงมาเรื่อย ๆ กระทั่งพบเจออีกหนึ่งร่างที่เฟร็ดแอบสะดุ้งตกใจ เพราะเพิ่งสังเกตได้ถึงการมีอยู่ ‘เจเรมี่ แม็คควีน’ นั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่? จูเลียมองตามสายตาสั่นระริกเคล้าความฉงนสนเท่ห์ของเฟร็ดไปหยั่งลูกชาย ผู้นั่งอยู่โซฟาติดผนังอีกฝากของห้อง เธอถอนหายใจเฮือกเล็กเบาๆ ก่อนเอ่ยประโยคขอโทษขอโพ้ยอธิการบดีเฟร็ดกับสภาพของเจเรมี่ “ฉันขอโทษแทนเจมี่ด้วยนะคะ” “อะ…เอ่อ ไม่…ไม่เป็นไรครับ” อธิการบดีตอบรับด้วยความเกรงใจ เฟร็ดเข้าใจที่คุณผู้หญิงจูเลียเอ่ยออกรับแทน เพราะเจเรมี่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำสีเทาเข้มและรองเท้าสลิปเปอร์ขนสัตว์ ท่วงท่าอ่อนยวบไหลไปกับโซฟาตัวใหญ่ อ้าปากกว้างหาวด้วยใบหน้าแสนชิว ไม่ยี่หระให้เกียรติผู้อาวุโสถึงสามคนใจกลางโถง ไม่มีมารยาทเสียจริง! เฟร็ดมองเจเรมี่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง ในใจตำหนิติติงถึงความไม่รู้กาลเทศะต่อผู้ใหญ่ อธิการบดีอายุน่าจะราวคราวเดียวกับจูเลีย แม้วัยจะไล่เลี่ยกัน แต่จูเลียกลับแลดูอ่อนเยาว์กว่าเขาหลายขุม แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น…ตามหลักแล้ว ผู้ด้อยทางอายุอย่างเจเรมี่ สมควรแสดงกิริยามารยาทอ่อนน้อมถ่อมตนมากกว่านี้ ไม่ใช่ลามปามกันอย่างที่เป็นอยู่ นี่สินะ ผู้มากมี หยิ่งยโสเพียงเพราะเกิดในตระกูลสูงส่ง “เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ” ท่านผู้หญิงอิสเบลเอ่ยเริ่ม ละสายตาออกจากหลานชาย พลันถอนหายใจไปด้วย “ครับคุณอิสเบล ก่อนอื่นเลย ทางวิทยาลัยให้ผมนำจดหมายและสิ่งของแทนคำขอบคุณมามอบให้ทางครอบครัวแม็คควีน” อธิการบดียื่นจดหมาย พร้อมยกลังไม้โอ๊คสีสวยบรรจุขวดแก้วสามขวดขึ้นมาวางให้บนโต๊ะหน้าโซฟา “เป็นไวน์แดงอิตาลีครับ” “ฉันก็ต้องขอบคุณทางวิทยาลัยเช่นกัน โดยเฉพาะอธิการบดีเฟร็ดที่พยายามเพื่อพวกเรา” ท่านผู้หญิงอิสเบลโค้งหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ “คุณอิสเบลไม่ต้องขอบคุณอะไรผมเลยครับ ผมต่างหากที่ต้องตอบแทนพวกคุณให้ถึงที่สุด” เฟร็ดโค้งหัวแทบติดหัวเข่าด้วยความตื่นตระหนกและตระหนักดี รีบปฏิเสธการคำนับจากท่านผู้หญิงใหญ่พัลวัน อันที่จริงเฟร็ดไม่สามารถตำหนิลูกชาย หรือคนอื่นๆ ของครอบครัวผู้มีพระคุณนี้ได้เลย เพราะเขาได้รับการช่วยเหลือมาอย่างมากล้น จนไม่รู้จะตอบแทนด้วยสิ่งใดถึงจะเพียงพอ “ไอริชสบายดีใช่ไหม เธอยังทำงานที่วิทยาลัยกับคุณหรือเปล่า” ท่านผู้หญิงอิสเบลเอ่ยถามไถ่ด้วยสีหน้าจริงใจ “ใช่ครับ เธอรักการสอนมาก ต้องขอบคุณที่คุณอิสเบลช่วยให้เธอมีชีวิตต่อ ได้ทำตามสิ่งที่รักอย่างทุกวันนี้” “ไม่ขนาดนั้นหรอกนะ การผ่าตัดครั้งนั้นขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและร่างกายของไอริชเองด้วย ฉันแค่ทำตามความสามารถหมอคนหนึ่งเท่านั้น” ไม่ว่าเมื่อไหร่ ‘ท่านผู้หญิงอิสเบล’ ผู้ขึ้นชื่อว่า ‘หมอมาโปรดหรือหมอแม่พระ’ มักถ่อมตนและแสดงความโอบอ้อมอารีดั่งคำล่ำลือ เธออยู่ในสมาคมเด็ก สตรี และก่อตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้คนยากไร้ เสมือนแม่ชีเทเรซ่าในยุคปัจจุบัน “ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ ถ้าไม่ได้คุณอิสเบล ลูกสาวผม…” “อืออออ~” ไม่ทันที่อธิการบดีจะเอ่ยจบประโยค ผู้นั่งฟังอยู่โซนหลังขัดจังหวะขึ้น เจเรที่ยืดตัวบิดขี้เกียจ เอนไหลลงนอนกับโซฟา พลางหาวเสียงดังแสดงความเบื่อหน่ายเต็มทีกับการเท้าความบุญคุณเมื่อนานนมมาแล้ว ท่านผู้หญิงอิสเบลและจูเลียหน้าขึ้นสีนิดหน่อย ส่ายศีรษะไปมา แอบอายอยู่ไม่น้อย พลันขอโทษผ่านทางสายตาให้อธิการบดี อย่าได้ใส่ใจกับพฤติกรรมไม่สุภาพของเจเรมี่ “งั้นผมขอเข้าเรื่องนะครับ นี่เป็นประวัตินักเรียนทุนปีนี้ ทุกอย่างตรงตามที่คุณอิสเบลและคุณจูเลียต้องการ เหมือนสวรรค์ขีดเส้นนำพามาเลยครับ” “สวรรค์ไม่เคยเห็นใจใครหรอกนะเฟร็ด ไม่งั้นผู้คนคงไม่ทุกข์ยากกันขนาดนี้” ท่านผู้หญิงอิสเบลสั่งสอนเชิงตัดพ้อ ทว่านัยน์หน้าฉายแววขำขันนิดหน่อย “สวรรค์ชอบพรากสิ่งที่รัก และเมินคำอ้อนวอนเสมอ” “นะ…นั่นสินะครับ” อธิการบดีเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะเขาเองก็เกือบสูญเสียสิ่งที่รักไป เขาส่ายหัวอย่างขบขันตัวเอง ก่อนจะละความคิด แล้วหยิบแฟ้มเอกสารออกมาจากกระเป๋าพร้อมยื่นส่งให้คุณผู้หญิง ทั้งสองราชสีห์รับมาคนละฉบับ พลันรีบเปิดแฟ้มเอกสารอ่านโดยทันที “ทั้งสองเกิดในวันอีสเตอร์ แต่คนละปีกัน ตรงตามที่กำชับมาเลยครับ” “เมอร์ซี่ คอตเวลล์ จากแอตเลนต้า” จูเลียอ่านตามประวัติ “กำพร้าพ่อแม่ อยู่กับลุงที่ทำกิจการมินิมาร์ท” “ใช่ครับ เธอมีผลการเรียนดีมาก อยากเปิดโลกทัศน์ เลยสมัครสอบชิงทุนมา แล้วติดอันดับครับ” “เธอมาระยะสั้น แค่หนึ่งเทอมเองเหรอ” “ใช่ครับ ทางวิทยาลัยมีหลากหลายโครงการ หลากหลายทุนครับ” จูเลียพยักหน้ารับทราบข้อมูล พลันเบนสายตาไปทางแม่สามีที่กำลังจดจ่อกับประวัติอีกเล่ม “ของคุณแม่เป็นไงบ้างคะ” “อืม แม่สาวคนนี้เป็นคนเอเชีย มาจากประเทศไทย ประเทศไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่” “เธอชื่ออะไรเหรอคะ” จูเลียถามต่อด้วยความใคร่รู้ อยากเห็นอีกประวัติเต็มแก่ “ชื่อแปลกมาก ลาลันนา ภัทรา...รา…เดชา ละมั้ง” “ชื่อแปลกจริงด้วยค่ะ” จูเลียขมวดคิ้วประหลาดใจ “คนนี้ได้ทุนโครงการหลักครับ จะอยู่ครบเยียร์ 13 เธอมาจากประเทศไทย ผลการสอบติดอันดับต้นๆ ของ A-Level ทางโรงเรียนฝั่งนู้นนำเสนอเธอมากเลย ผมอ่านประวัติคร่าวๆ เธอมีชื่อเล่นครับ เห็นว่าประเทศนั้นจะเรียกชื่อเล่นกันมากกว่า” “ลูน่าใช่ไหม” ท่านผู้หญิงอิสเบลเอ่ยถาม “ใช่ครับ มีอยู่ในประวัติตามนั้นเลยครับ” “พวกเธอจะมาเมื่อไหร่นะ” จูเลียไล่ถามต่อ “ช่วงซัมเมอร์นี้ครับ อ้อ!” อธิการบดีทำหน้าเหลอหลาประหนึ่งนึกขึ้นได้ แอบเผลอลืมบางสิ่งไป “เดี๋ยวผมต้องรบกวนให้เซ็นเอกสารด้วยนะครับ อาจจะเยอะนิดหนึ่ง เพราะพวกเธอทั้งสองโชคดีมาก ที่ได้ครอบครัวแม็คควีนรับเป็นทั้งโฮสต์และการ์เดี้ยน” “ทางนี้ก็ยินดีมากเช่นกัน จะได้มีนักเรียนทุนสักที หลังจากไม่ได้เปิดรับมานาน” ท่านผู้หญิงอิสเบลยิ้มรับอย่างพึงพอใจ “ครับ การจะได้ประวัติตรงตามต้องการ ตอนแรกผมคิดว่ายากและริบรี่มาก แต่พอปีนี้ กลับมีมาให้ถึงสองคน น่าเหลือเชื่อจริงๆ ครับ” “นั่นสินะ พวกเราไม่คาดหวังหรอก แค่ออกปากขอไปอย่างนั้น เผื่ออธิการบดีเป็นหูเป็นตาให้กันได้อีกทาง” จูเลียออกความเห็นบ้าง “มีอะไรนอกเหนือจากนี้ ผมพร้อมช่วยเหลือเสมอครับ” เฟร็ด ออกปากเอ่ยสัจจะ สองราชสีห์ยิ้มรับด้วยใบหน้าพึงใจ แลเห็นถึงความพยายามที่จะตอบแทนบุญคุณของเฟร็ดเต็มเปี่ยม “สลับกันหน่อยสิจูเลีย” ท่านหญิงอิสเบลยื่นเอกสารเพื่อสลับแฟ้มกับลูกสะใภ้ ทั้งสองก้มมองดูรูปหัวแฟ้มอย่างพินิจ ก่อนที่จูเลียจะเงยหน้าขึ้น เบนสายตาไปทางลูกชายที่นั่งตาปรือด้วยพิษความง่วง “จำชื่อเอาพวกเธอไว้ด้วยล่ะเจมี่” ผู้เป็นแม่เน้นย้ำ “….” เจเรมี่ไม่ตอบ แต่พ่นลมขึ้นจมูกเสมือนขยาดในที ขณะที่อธิการบดีทำหน้าประหนึ่งสงสัย “ฉันไม่ได้อยู่บ้านทุกวัน เจมี่จะช่วยดูแลพวกเธอให้ในช่วงที่ฉันไม่อยู่” จูเลียไขข้อข้องใจให้ “ครับ” จะรอดไหม! เฟร็ดมีเคล้าของความกังวลตามประสาคนมีลูกสาว แต่บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยสาวใช้และพ่อบ้าน รวมถึงเครื่องอุปโภค บริโภคที่เกินคำว่าธรรมดา เด็กนักเรียนทุนต้องได้รับการดูแลที่ดีมากแน่นอน ถึงจะมีตัวปัญหาอย่างลูกชายคนเล็กอยู่ก็ตาม แต่เจเรมี่คือคนสำคัญของตระกูลนี้ ทำไมถึงมองว่าเขาเป็นตัวปัญหา เฟร็ดส่ายหัวไล่ความคิดอย่างตำหนิตัวเอง “คิดว่าผมไม่สามารถดูแลพวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมได้เหรอเฟร็ด” จู่ๆ เจเรมี่เอ่ยปากถาม หยัดตัวลุกขึ้นมานั่งช้าๆ เอียงคอมองอธิการบดีด้วยใบหน้ายิ้มชวนหลอน ทำเอาผู้ถูกถามกระตุกตาโตด้วยความอึ้งนิดหน่อย เพราะเหมือนชายหนุ่มอายุน้อยกว่าสามารถล่วงรู้ความคิดได้งั้นแหละ “ผมอ่านใจใครไม่ได้หรอก แต่อ่านสีหน้าได้” นั่นยิ่งทำให้เฟร็ดเลิกลั่กเข้าไปอีก มองรอยยิ้มที่ฉีกออกเสมือนคนจิตไม่ปกติ ถึงหน้าจะหล่อเหลาเอาการ แต่รอยยิ้มกลับชวนให้ขนลุกขนพอง “จะว่าไป ก็แอบน่าเป็นห่วงเด็กพวกนั้นนะ ที่มาอยู่ในมือฉัน คิดว่างั้นไหมเฟร็ด” “เจมี่พูดจาให้มีกาละเทสะหน่อย” จูเลียปามลูกชาย สายตาจิกตำหนิไม่พอใจ “ผมยังไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลย” เจเรมี่ยักไหล่ ทำตาลอยกลอกไปมา ก่อนจะลุกขึ้นเผยความสูงอันเด่นสง่า “เรื่องมีแค่นี้ ต้องให้เสียเวลามานั่งฟังด้วย” “เราคุยกันแล้ว” “คุยแล้ว รับรู้แล้ว มีอะไรเพิ่มเติม คุณหญิงจูเลียก็แจ้งอัลเบิร์ตสิ ไม่เห็นจะยาก ผมไปล่ะ” เจเรมี่ไม่ว่าเปล่า เดินลอยหน้าลอยตาเข้าไปหาผู้เป็นย่า ฝังจูบลึกลงแก้มผู้อาวุโส ก่อนจะฉีกยิ้มประหนึ่งเด็กอ้อนขอโทษ “ไว้เจอกันตอนมื้อเย็นนะครับคุณย่า” “เฮ้อ~ เจ้าหลานเจ้าเล่ห์” ท่านผู้หญิงอิสเบลถอนหายใจพรืดใหญ่เสมือนปลัดปลง ทว่าสีหน้ากลับชื่นมื่น เพียงเพราะหลานชายตบหัวลูบหลังด้วยท่าทีน่ารักน่าชัง ซึ่งขัดแย้งกับหน้าตาโอหังเสียกระไร อธิการบดีมองภาพตรงด้วยความคิดอันหลากหลาย สำหรับเฟร็ดแล้ว ท่านผู้หญิงอิสเบลกับคุณหญิงจูเลียเปรียบเสมือนราชสีห์ผู้น่ายำเกรง คิดว่าน่าจะควบคุมเจเรมี่ได้ แต่เขาคิดผิด… เจเรมี่ยโสได้ขนาดนี้ คงเป็นเพราะการตามใจและการเลี้ยงดูที่ผิด ปล่อยให้เขากัดกินความคิดและมีอิทธิพลมหาศาลกับคนในบ้าน จนตัวเขากลายเป็นผู้กุมคันบังคับ จึงไม่แปลกที่ทุกคนต้องเชื่อฟังและยินยอมเขาเสมอ นั่นหมายความว่า ถ้าเขาจะทำอะไรผิด ร้ายแรงแค่ไหน สุดท้ายแล้วจะได้รับการให้อภัย ซึ่งเจเรมี่ต้องรู้ดีแก่ใจถึงอภิสิทธิ์ข้อนี้เป็นแน่ ชายหนุ่มนาม เจเรมี่ แม็คควีน น่าจะเล่นด้วยยากยิ่งนัก! เจเรมี่ไม่ค่อยออกงานสังคมเท่าไหร่นัก กระนั้นเขากลับมีอิทธิพลและชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย อาจจะยิ่งกว่าผู้เป็นแม่เสียด้วยซ้ำ ที่น่าตระหนักคงจะเป็นเสียงลื่อในวงการมืด ถึงชื่อเสียงครอบครัวแม็คควีนจะถูกสร้างมาจากการช่วยเหลือผู้คน แต่มายุคสมัยของเขาผู้นี้ เฟร็ดรู้สึกหวาดหวั่นแทน “อ้อ! จากที่นั่งฟังมา ผมคงจะเล่นด้วยแค่ยัยอเมริกันคนเดียวนะ ส่วนอีกคน คงไม่ลดตัวเองลงไปยุ่ง ผมไม่ชอบคนเอเชีย” เจเรมี่ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ปล่อยให้สามผู้อาวุโสกุมขมับอีกรอบ ไม่นึกฝันว่าคำเหยียดเชื้อชาติจะหลุดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเก็บซ่อนใดๆ ทั้งสิ้น

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

Her Triplet Alphas

read
7.0M
bc

The Heartless Alpha

read
1.5M
bc

My Professor Is My Alpha Mate

read
475.3K
bc

The Guardian Wolf and her Alpha Mate

read
522.4K
bc

The Perfect Luna

read
4.1M
bc

The Billionaire CEO's Runaway Wife

read
614.4K
bc

Their Bullied and Broken Mate

read
473.5K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook