Part : เหตุบังเอิญ (ตั้งใจ)
[ขอให้สนุกกับการอ่านนะครับ] • [Have fun reading]
Part : เหตุบังเอิญ (ตั้งใจ)
--------------------------------------------------------------------------
4ปีก่อน...
“วันนี้ยายหยุดพักเถอะนะจ๊ะ เดี๋ยวไหมไปขายเอง” เด็กสาวในชุดมอปลาย ยื้อแย่งราวแขวนพวงมาลัยจากมือของยายมุ้ยมาถือไว้ เธอประคองร่างทรุดโทรมนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่เริ่มผุพังอย่างระวัง
“แต่ไหมต้องไปเรียนนะลูก เดี๋ยวจะสายเอา” ยายแก่ชราวัยเจ็ดสิบห้าปี พูดบอกหลานสาวสุดรักเสียงเอื่อยท่าทางอ่อนเพลีย
“เดี๋ยวไหมแวะขายก่อนไปเรียนก็ได้ สี่แยกอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ ไหมจะรีบขายให้หมดแล้วก็รีบไปให้ถึงโรงเรียนก่อนเข้าแถว ไม่สายหรอกจ้ะยาย”
“...ไหมไม่อายเพื่อนเหรอลูก ต้องไปขายพวงมาลัยกลางสี่แยก ร้อนก็ร้อน ให้ยายไปเถอะนะ”
“ไหมทำงานสุจริต ไม่เห็นต้องอายใครเลย อีกอย่างยายไม่สบายอยู่ ถ้าออกไปตากแดดเดี๋ยวก็เป็นลมแบบเมื่อวานอีก อยู่พักที่บ้านเถอะนะจ๊ะ...”
เธอยินดีหากว่าต้องไปขายพวงมาลัยที่กลางสี่แยกไฟแดงร้อน ๆ เพื่อให้ยายของเธอได้หยุดพักผ่อน ซึ่งงานนี้ไม่เพียงสร้างรายได้ส่งเธอเรียนหนังสือ แต่ยังเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเธอกับยายตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้ เธอจึงไม่เคยคิดดูถูกอาชีพที่ทำอยู่ หรือแม้แต่อาชีพอื่นที่ใช้แรงงานหาเช้ากินค่ำเหมือน ๆ กัน
‘ปอไหม’ ถูกเลี้ยงดูโดยยายแท้ ๆ ตั้งแต่เธอจำความได้ ส่วนแม่กับพ่อผู้ให้กำเนิดก็แยกทางกันไปมีครอบครัวใหม่ นานแสนนานแล้วที่พวกเขาไม่ได้กลับมาเยี่ยมเธอผู้เป็นลูกสาว จนเหมือนว่าทั้งสองคนจะลืมไปว่าเธอมีตัวตนอยู่บนโลกนี้
อาจจะเพราะว่าต่างฝ่ายก็ต่างมีลูกใหม่ครอบครัวใหม่ที่ต้องดูแล ลูกเก่าเช่นเธอจึงถูกทิ้งขว้าง ปล่อยให้สู้ชีวิตกับยายโดยลำพังอย่างยากลำบาก เธอถูกเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กขายพวงมาลัยตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน แต่ก็ไม่คิดสนใจคำพูดใคร เพื่อให้เธอและยายได้กินอิ่มอยู่รอด เธอยอมทำทุกสิ่งที่ได้เงินมาอย่างสุจริต ต่อให้เป็นงานใช้แรง ตากแดด ตากฝนก็ไม่หวั่น...
“ยายขอโทษนะ”
“ขอโทษไหมอีกแล้ว ไหมบอกแล้วไงว่าอย่าพูดแบบนี้...”
ยายของเธอมักโทษตัวเองอยู่เสมอถึงสิ่งที่ปอไหมไม่ได้มองว่าเป็นความผิด แถมยังเข้าใจทุกฝ่าย ทั้งพ่อที่อ้างว่ายุ่งอยู่กับงาน และแม่ที่ย้ายไปอยู่เมืองนอกเพราะเพิ่งเริ่มต้นกับสามีคนใหม่ ซึ่งก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ตั้งแต่แม่ของเธอแยกทางกับพ่อแท้ ๆ ของเธอไป...
“ยายผิดเองที่เลี้ยงลูกไม่ดี”
“ไม่หรอกจ้ะ แม่อาจจะมีเหตุผลที่มาหาเราไม่ได้ ไหมเข้าใจ”
“เหตุผลอะไร ถึงได้ทิ้งลูกทิ้งแม่ได้ลง เงินไม่เคยส่งให้สักบาทตั้งแต่ได้ผัวใหม่ แม้แต่โทรมันยังไม่โทรมาหา...”
“ช่างเถอะจ้ะยาย...ไหมใกล้จะเรียนจบแล้ว ต่อไปไหมจะหาเลี้ยงยายเอง ยายไม่ต้องเหนื่อยหาเลี้ยงไหมอีกแล้วนะ”
“เฮ้อ...ไหมควรจะได้เรียนต่อมหาลัยแท้ ๆ”
“...ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ค่อยกลับไปเรียนต่อเมื่อไหร่ก็ได้”
เธอเองก็เสียใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องพักการเรียนต่อมหาลัยไปช่วงหนึ่ง และยังไม่มีกำหนดว่าจะได้กลับมาเรียนต่อเมื่อไหร่เพราะยังไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่อทางไหน
ซึ่งอีกไม่กี่เดือนเธอก็จะจบการศึกษาระดับชั้นมอหกแล้ว และทางเดียวที่เหลืออยู่คือการทำงานเลี้ยงตัวเอง และยายผู้มีบุญคุณที่ส่งเสียเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เล็กจนตอนนี้เริ่มไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองไหว
เธอจำต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวในวัยเพียงสิบแปดปี แต่สำหรับปอไหมแล้ว เธอคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร แถมยังเป็นเรื่องดีที่เธอจะได้ตอบแทนบุญคุณยายสุดรักที่เลี้ยงดูเธอมา
สี่แยกไฟแดง...
“โอ๊ย มึงจะขับรถอ้อมมาทำไมแยกนี้อีกแล้วเนี่ย แยกไฟแดงนี้รถติดจะตายห่า”
เสียง ‘กาวิน’ นักศึกษาปริญญาโทในวัยยี่สิบหกปี หัวเสียใส่ ‘วาโย’ เพื่อนของเขาที่ขับรถอ้อมมาเพื่อมาติดแยกไฟแดงประจำที่พามาติดอยู่เกือบทุกวัน ทั้งที่มีทางอื่นถึงเร็วกว่า แต่เขาก็มักจะใช้เส้นทางนี้ประจำแม้จะต้องใช้ระยะเวลาเดินทางนานขึ้นกว่าจะถึงที่หมาย
“...”
“โอ๊ย เบื่อรถติดเว้ย!”
“มึงหยุดโวยวายได้ไหมเนี่ย”
“แล้วมึงจะขับรถอ้อมทำห่าอะไรให้โดนด่า ไปทางนั้นป่านนี้ก็ถึงมหาลัยแล้ว”
“...มาแล้ว” วาโยไม่ได้สนใจเสียงบ่นอุบของเพื่อนสนิทของเขาเลยสักนิด เพราะเหตุผลที่ทำให้เขาขับรถวนมาแยกนี้ทุกวันอยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว
“อะไรมาแล้ว?” กาวินกวาดตามองไปบนท้องถนน เพื่อหาสิ่งที่เพื่อนของเขาให้ความสนใจอยู่ในวินาทีนั้น
“พวงมาลัยไหมคะ” เสียงหวานของแม่ค้าสาวในชุดมอปลาย ดังอยู่กลางถนน เรียกให้คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรีบกดลดกระจกข้างกาวินลง เพื่ออุดหนุนพวงมาลัยของเธอให้ทันก่อนที่เด็กสาวจะเดินผ่านรถของเขาไป
“หนู พวงมาลัยหน่อยจ้ะ”
“ได้ค่ะ”
เธอยื่นพวงมาลัยพร้อมกับก้มมองผ่านกาวินไป จึงเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับคือชายหนุ่มลูกค้าประจำ ที่อุดหนุนเธอแทบทุกวันในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา
“อ้อ พวกพี่นั่นเอง เจอกันอีกแล้ว สวัสดีค่ะ”
“…” วาโยยิ้มทักทายเด็กสาวข้ามหน้าเพื่อนสนิทของเขาไป จนเหมือนว่าสิ่งนั้นจะเป็นพิรุธให้กาวินจับทางของเขาถูก
“…” อ๊า เด็กคนนี้สินะ ผมว่าผมเข้าใจเหตุผลของไอ้วาโยมันแล้วล่ะ นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มันขับรถมาติดแยกไฟแดงนี้แทบทุกวัน เด็กคนนี้สินะที่มันสนใจ
“น้องครับพี่เหมาพวงมาลัยหมดนี่เลย ให้ห้าพัน ขึ้นรถมาเดี๋ยวพี่ไปส่งที่โรงเรียน”
กาวินพูดไปแบบนั้นพร้อมกับควักเงินสดในกระเป๋ายัดใส่มือสาวน้อย โดยที่ไม่กะให้เธอพูดปฏิเสธ เพราะเขาต้องการช่วยให้เพื่อนสนิทรู้จักกับเด็กสาวหน้าใสคนนี้ ทว่ากาวินลืมถามความเห็นของเจ้าตัวไป
“ไอ้กาวิน มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย”
“เออน่า เชื่อมือกู”
“เร็ว ๆ สิ จะไฟเขียวแล้วนะ” กาวินพูดเร่งเร้าพร้อมส่งสายตาที่แฝงไปด้วยความกดดันมองจ้องสาวน้อยที่ยืนกำเงินของเขาอยู่
“เอ่อ แต่ว่า...”
เธอมองเงินแบงก์พันในมือที่กาวินยัดใส่ให้ด้วยความหนักใจ เพราะไม่อยากปล่อยมือจากเงินก้อนนั้น แต่จะให้ขึ้นรถไปกับชายแปลกหน้าก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจากความโลภเพียงชั่วครู่
“แต่อะไรเล่า พี่ไม่ทำอะไรหรอกน่า แค่อยากไปส่งที่โรงเรียน ขึ้นรถมาเร็ว”
นอกจากเสียงเร่งกดดันของกาวินแล้ว เลขวินาทีไฟแดงที่นับถอยหลังเร็วขึ้นก็ทำให้เด็กสาวยิ่งรู้สึกถึงความกดดันเพิ่มเป็นทวีคูณ...
“เอ่อ...ขอโทษนะคะหนูรับไว้ไม่ได้ค่ะ” เธอเลือกที่จะปฏิเสธและพยายามจะคืนเงินให้กับกาวินทว่าคนเจ้าเล่ห์กลับไม่ยอมรับมันคืน และเหมือนว่าโชคชะตาจะเข้าข้างเขามากกว่าสาวน้อย
ปี๊น!
จังหวะนั้นเป็นช่วงที่ไฟเขียวพอดี ซึ่งรถของวาโยอยู่คันหน้าสุดของขบวน แต่กลับไม่เคลื่อนตัวตามสัญญาณไฟ จึงมีเสียงเตือนจากรถคันหลังดังขึ้น
“น้องขึ้นรถมาเร็ว ๆ”
“ไอ้เหี้ยวิน! มึงทำเหี้ยอะไรเนี่ย?!”
“เออน่าเชื่อกู”
ปี๊นน!
“เร็ว ๆ สิน้อง”
ปี๊น! ปี๊นน!
“เห้ยคันหน้า! ไฟเขียวแล้วทำไมไม่ไปวะ! จอดรอพ่อมึงไง!”
“กะ...ก็ได้ค่ะ” เสียงด่าทอเมื่อครู่ทำเด็กสาวสติแตก เปิดประตูรถและหอบของเข้าไปนั่งเบาะหลังของรถเก๋งคันหรู
ปึง!
“เวรเอ๊ย” วาโยอุทานออกมาก่อนจะเคลื่อนรถออกตามสัญญาณไฟจราจร ในตอนนั้นก็ได้แต่ภาวนาขอให้เพื่อนรักของเขาไม่พูดเรื่องบ้า ๆ ออกไป
--------------------------------------------------------------------------
[ติดตามตอนต่อไป] • [Follow the next episode]
• เพิ่มเข้าชั้น • กดหัวใจ • คอมเมนท์ •กดติดตาม และฝากซัพพอร์ตนักเขียนด้วยนะครับ~